หัวหน้าทีม ศก.ชพน. เชื่อ ปชช.ขานรับนโยบายไม่แบ่งขั้วสลายสี วอนทุกฝ่ายยอมรับผลเลือกตั้ง ไม่หวั่นตกสำรวจโพล ชี้ต่างกับความจริงมาก มั่นใจยังได้ 20-25 ที่นั่ง โดยเฉพาะที่โคราช หวังซื้อใจพลังเงียบช่วงโค้งสุดท้าย
วันนี้ (21 มิ.ย.) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน นำโดยนายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และนายนิกร เลาหพงศ์ชนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรค ได้ลงพื้นที่หาเสียงย่านสีลม โดยได้เริ่มเดินเท้าหาเสียงภายในศูนย์การค้าเดอะสีลมแกลเลอเรีย และตลาดนัดด้านหลังอาคารในช่วงเวลาพักเที่ยงของพนักงานบริษัท โดยมีประชาชนส่งเสียงและมอบดอกไม้ให้กำลังใจเป็นระยะ
ทั้งนี้ ระหว่างเดินหาเสียงภายในศูนย์การค้าได้มีผู้ค้ารายหนึ่งแสดงความไม่พอใจคณะหาเสียง โดยตะโกนถามว่าพรรคอะไร ปรองดองหรือไม่ ขออนุญาตใครหรือยัง แต่เมื่อนายกรพจน์เข้าไปชี้แจงและยืนยันว่าพรรคสนับสนุนนโยบายปรองดอง ผู้ค้ารายดังกล่าวจึงได้สงบลง ต่อมานายกรพจน์ได้นำคณะเดินหาเสียงในตลาดนัด และแวะปั่นร้านน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ โดยได้โชว์การปั่นน้ำผลไม้ตั้งชื่อสูตรว่าสูตรไม่แบ่งขั้วสลายสีอีกด้วย
จากนั้น นายกรพจน์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนโดยกล่าวกระแสตอบรับต่อนโยบายไม่แบ่งขั้ว สลายสี ที่พรรคได้นำเสนอออกมา 8 ข้อว่า ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด เพราะเล็งเห็นว่าจะเป็นทางออกของปัญหา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และสร้างหลักนิติรัฐนิติธรรมให้เกิดขึ้น โดยในเบื้องต้นทุกคนต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง 3 ก.ค. ไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ และผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสมควรได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางพรรคมีความเป็นห่วงในสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่เงื่อนตายทางการเมืองหรือไม่ นายกรพจน์กล่าวว่า ตรงนี้ทุกคนต้องร่วมกันทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยพรรคการเมืองมีหน้าที่นำเสนอนโยบายเพื่อประชาชนอย่างสร้างสรรค์ ไม่ทำลายกัน ในส่วนของพรรคได้มีการหารือกันบ้าง ก็ได้กำชับให้หาเสียงอย่างเหมาะสม รวมไปถึงในส่วนของการรักษาความปลอดภัยที่หากพบสิ่งผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
เมื่อถามว่าได้มีการประเมินกระแสของพรรคหรือไม่ หลังจากที่หลายๆโพลล์ระบุว่าจะได้ ส.ส.น้อยมาก นายกรพจน์กล่าวว่า การสำรวจความคิดเห็นกับข้อเท็จจริงนั้นมีความแตกต่างกันมาก ซึ่งพรรคก็ยังมั่นใจว่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 20-25 ที่นั่ง โดยเฉพาะใน จ.นครราชสีมา ที่เป็นฐานสำคัญของพรรค รวมทั้งยังเห็นว่ามีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร โดยอาจจะรอดูนโยบายของแต่ละพรรคในช่วงสัปดาห์สุดท้ายว่าของพรรคไหนสามารถทำได้จริง และมีหนทางที่จะประสบความสำเร็จ