แกนนำ ชพน.ห่วงการเมืองดุ เตือนระวังเข้า “เดดล็อก” วอนทุกฝ่ายเลิกเผชิญหน้าลดเงื่อนไขความขัดแย้ง ไม่ห่วง ปชป.ตั้งเวทีราชประสงค์ ไม่รู้ไม่ชี้เพื่อจ้องออก กม.นิรโทษกรรม โบ้ยสภาฯ ตัดสินใจ ปัดตอบ “นช.แม้ว” จะกลับปลายปี ชี้แค่พ่ออยากมางานแต่งลูกสาว ไม่มีนัยการเมือง เบรกพรรคเอสเอ็มอีหวังเป็นนายกฯ เตือนระวังล้ำหน้า ยก “น้าชาติ” ต้นแบบนายกฯ ไม่เกี่ยงหญิงหรือชายเป็นผู้นำรัฐบาล
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) เปิดบ้านย่านราชวิถี 20 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 ว่า ดูแล้วมีความเห็นห่วงต่อสถานการณ์เลือกตั้ง โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้าย ที่เริ่มมีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นห่วงและต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันรักษาสถานการณ์เลือกตั้งไม่ให้มีความรุนแรง หากสถานการณ์รุนแรง มีความขัดแย้งมากๆ และนำไปสู่การทำร้าย เสียเลือดเสียเนื้อกัน ตรงนี้น่าเป็นห่วงว่าจะทำให้ผลการเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ หรือไม่ได้รับการยอมรับ และนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการเมืองที่ไม่เป็นประโยชน์
“ทุกฝ่ายต้องช่วยกันรักษาสถานการณ์ให้เรียบร้อยไม่รุนแรง และหาเสียงบนพื้นฐานที่ไม่นำความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังเลือกตั้งก็หวังว่าจะได้รัฐบาลที่ถ้อยทีถ้อยอาศัย นำไปสู่การแก้ไขปัญหาของประเทศ หากมีความรุนแรง เผชิญหน้า และตอกย้ำความไม่เข้าใจ ดังนั้นต้องรักษาบรรยากาศหาเสียง เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือทางการเมืองหลังจากการเลือกตั้ง ไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินว่าบรรยากาศหลังจากนี้จะมีดีกรีความรุนแรงมากขนาดไหน นายสุวัจน์กล่าวว่า หากมีการยิงกันที่นั่นที่นี่ หรือมีกลไกเลือกตั้งที่ไม่อิสระ มีการซื้อเสียงมากๆ หรือโจมตีนำไปสู่ความแตกแยกได้ ดังนั้น เนื้อหาการนำเสนอในการปราศรัยควรอยู่บนพื้นฐานข้อมูลข้อเท็จจริง หากมีเนื้อหาไปสู่ความแตกแยกไม่เข้าใจ หลีกเลี่ยงได้ก็ดี อย่างไรก็ตาม ตนมีความเป็นห่วงในทุกๆ พื้นที่ของประเทศ อยากให้ทุกคนแปรสนามเลือกตั้งเป็นสนามกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ช่วยกันดูแลการเลือกต้งให้เรียบร้อย
เมื่อถามถึงบทบาทของกองทัพต่อการเลือกตั้ง นายสุวัจน์กล่าวว่า ตอนนี้ท่าทีกองทัพชัดเจนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตนมองว่าเป็นท่าทีที่ทุกฝ่ายสบายใจ เห็นได้จากการออกมาพูดหลายครั้งว่าการเมืองเรื่องการเมือง ทหารก็เป็นเรื่องของทหาร ไม่เกี่ยวกัน
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์กำหนดจะไปปราศรัยที่แยกราชประสงค์ จะเป็นชนวนความขัดแย้งหรือไม่ นายสุวัจน์กล่าวว่า ตนมองว่าเรื่องสถานที่ไม่สำคัญเท่ากับเนื้อหาสาระ โดยภาพรวมของการปราศรัย ทุกฝ่ายต้องร่วมกันระมัดระวัง หากเนื้อหาเป็นการโจมตีกันมากเกินไปก็ไม่ดี หากเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง ไม่ควรนำเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความรุนแรงมาใช้ปราศรัย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์
“เราต้องพยายามลดเงื่อนไขของความขัดแย้งตั้งแต่วันนี้จนไปถึงวันเลือกตั้ง หากมีความขัดแย้งมากขึ้น หรือมีการทำร้ายชีวิตกัน บางทีมันอาจจะนำไปสู่เดดล็อคทางการเมือง เพราะการเมืองวันข้างหน้าสำคัญ เนื่องจากหลังเลือกตั้งเราหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทุกฝ่ายยอมรับผลก็จะจบ” นายสุวัจน์กล่าว
ต่อข้อถามถึงปัจจัยที่จะนำไปสู่เดดล็อกทางการเมือง นายสุวัจน์กล่าวว่า การก่อความรุนแรง การปราศรัยที่โจมตีกัน หรือการลอบทำร้าย ถือเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ตรงนี้ต้องระวัง อยากให้ทุกคนอยู่บนพื้นฐานนำเสนอสิ่งดีๆ และนโยบายให้ประชาชนได้ตัดสินใจ เพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และหลังเลือกตั้งเกิดความยอมรับ ไม่มีปัญหาเรื่องจัดตั้งรัฐบาล อยากเห็นทุกพรรคหันหน้าเข้าหากันและยอมรับผลเลือกตั้ง ทำงานอย่างสร้างสรรค์ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล
แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพบผู้คนในหลายวงการ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งทุกคนก็ถามว่าหลังเลือกตั้งความขัดแย้งในบ้านเมืองเราจะจบหรือไม่ เพราะคนที่อยากมาลงทุนหรือมาเที่ยวเมืองไทย มีความเป็นห่วงเรื่องความสงบเรียบร้อย การเลือกตั้งมีแพ้มีชนะ มีคนเป็นรัฐบาลและเป็นฝ่ายค้าน แต่เหนือกว่านั้นก็คือว่า หลังเลือกตั้งทุกคนอยากเห็นสถานการณ์ประเทศเรากลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่ใช่เฉพาะคนไทย รวมไปถึงคนต่างชาติด้วย เท่าที่พูดคุยเขาไม่เป็นห่วงว่าใครจะมาเป็นนายกฯหรือเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ห่วงว่าหลังเลือกตั้งบ้านเมืองเราจะจบไหม ทุกคนต้องคำนึงถึจุดนี้ หากทุกฝ่ายหวังเพียงเอาชนะทางการเมืองอย่างเดียว แล้วบ้านเมืองแพ้ก็คงไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับผลเลือกตั้ง นายสุวัจน์กล่าวว่า หากทุกคนมุ่งมั่นที่จะให้เกิดความเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่หลากสีหลายขั้ว บ้านเมืองกลับมาสู่ควมเรียบร้อย อะไรที่กระทบเลือกตั้ง สถานการณ์เลือกตั้ง การเมืองร้ายแรง เราต้องเหลีกเลี่ยง หากคิดในเชิงลักษณะมุ่งหวังผลเลือกตั้ง จำนวน ส.ส. ก็จะทำให้บรรยากาศรุนแรง
เมื่อถามต่อว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาล อาจจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอีก นายสุวัจน์กล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นเรื่องของสภา เสียงของประชาชนเลือกาแล้ว ส.ส.ก็ทำหน้าที่ตัดสินใจในสภา ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะกลับเมืองไทยในช่วงปลายปีนี้ นายสุวัจน์ปฏิเสธให้ความเห็นโดยกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่คนเป็นพ่อ เป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อลูกแต่งงานก็อยากมางาน มาได้ก็มา มาไม่ได้อีกเรื่อง ไม่คิดว่าเป็นนัยทางการเมือง
นายสุวัจน์ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์จารณ์ว่าหาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ อาจเป็นโอกาสของพรรคการเมืองขั้วที่ 3 ในการเสนอผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า การเมืองยังเป็นเรื่องของ 2 ขั้วใหญ่ ขั้วที่ 3 ยังมองไม่ค่อยเห็น เพราะมีความแตกต่างมาก นายกฯก็ยังจะมาจาก 2 ขั้วใหญ่ คงมาไม่ถึงขั้วที่ 3 เพราะตอนนี้ความห่างมีอยู่มาก พรรคใหญ่มี ส.ส.หลักร้อย แต่พรรคเล็กแค่หลักสิบ
“เหมือนเล่นบอล และลูกบอลยังมาไม่ถึง ก็ไปรอนานๆ ไม่ได้ เดี๋ยวถูกเป่าออฟไซต์ล้ำหน้าไปอีก อย่างไรนายกฯก็น่าจะมาจาก 2 ขั้วใหญ่ แต่เมื่อการเมืองแตกเป็น 2 ขั้วใหญ่ ก็เปิดโอกาสให้พรรคเล็กมีความสำคัญทางการเมือง ในการเสริมสร้างสเถียรภาพ เป็นตัวช่วยในระบอบประชาธิปไตย และมีส่วนช่วยให้รัฐบาลได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง พรรคเล็กต้องเข้าใจบทบาท และใช้โอกาสนี้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง” นายสุวัจน์กล่าว
เมื่อถามถึงปัจจัยที่จะทำให้พรรคการเมืองสามารถตั้งรัฐบาลได้ นายสุวัจน์กล่าวว่า ทุกพรรคต้องฟังเสียงประชาชนเพื่อให้เกิดการยอมรับ และความเชื่อมั่นจากนานาชาติ ยังยืนยันรัฐบาลจะต้องรวบรวมให้ได้ 300 เสียงขึ้นไป เพื่อให้ทำงานได้ หรืออย่างน้อยใครรวมเสียงได้ 251 เสียงก็จัดได้ หากพรรคเดียวไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องไปชวนมาให้ครบ หากไม่จบก็อาจเป็นพรรคที่ 2 หรือพรรคเล็กพรรคกลางว่ากันไปตามประเพณีการเมือง
“วันนี้อยากให้ทุกพรรคมองไปข้างหน้า นอกจากได้ ส.ส.มากแล้ว ยังควรมีความรับผิดชอบร่วมกันในการแก้ไขปัญหาประเทศ การลดเงื่อนไขให้น่อยที่สุด จำเป็นมากที่ทุกพรรคเอาความรู้สึกส่วนตัวออกมา ลดราวาศอก เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ดีที่สุด มีความเป็นมืออาชีพ เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ จัดคณะรัฐมนตรีให้เหมาะสม ต้องพิถีพิถันให้มาก พรรคใหญ่ควรกระทรวงไหน พรรคเล็กควรอยู่ตรงไหน เสถียรภาพมีแค่ไหน ต้องให้ทุกคนยอมรับให้ได้” นายสุวัจน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวยังได้ถามถึงบุคลิกของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ปัจจุบัน นายสุวัจน์กล่าวว่า ไม่ค่อยอยากพูด เพราะพูดไปแล้วก็อาจถูกมองว่าเลือกใคร อย่างไรก็ตามตนมองในสถานการณ์ปัจจุบันต้องเป็นบุคคลที่มีบุคลิกเหมือน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีบารมี ประนีประนอม มีเพื่อนรอบบ้าน เก่งเรื่องเศรษฐกิจ รู้แพ้ รู้ชนะ พล.อ.ชาติชายมักพูดอยู่เสมอๆ ว่าการเมืองต้องจบเป็นยกๆ แพ้ชนะกันเสียงเดียวก็จบ
“คนที่จะมาเป็นนายกฯต้องเข้าได้กับทุกฝ่าย ประสานรอยร้าว และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ เท่าเทียมกัน เชื่อว่าใน ส.ส.500 คนที่ประชาชนเลือกมาแล้ว ต้องมีสักคน หากหาคนที่สูงมากๆ ไม่ได้ ก็ต้องหาคนที่สูงที่สุดในหมู่คนเตี้ย เชื่อว่ามีเพราะกรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” นายสุวัจน์กล่าว