xs
xsm
sm
md
lg

“โหวตโน” ประกาศสงครามนักเลือกตั้ง-สัตว์นรก!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้ดูจากแนวโน้มคงหวังพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากชาวบ้านจะต้องช่วยตัวเอง ลุกขึ้นมาตื่นตัวสู้รบกับบรรดานักเลือกตั้ง นักธุรกิจนักลงทุนทางการเมือง ที่หากินมากับการเมืองแทบตลอดชีวิต มีพฤติกรรมเลวร้ายไม่ต่างจากสัตว์นรก ทำให้บ้านเมืองนับวันยิ่งเลวร้ายลง จนเข้าขั้นวิกฤติถึงขั้นที่คนเริ่มมองเห็นว่าการทุจริตคอรัปชั่นจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาเข้าไปทุกที

ในตอนแรกยังมีคนจำนวนไม่น้อยยังหวังพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่คงจะต้องไม่ “บ้าจี้” ตามแรงกดดันของนักเลือกตั้งที่กลัวชาวบ้านรู้ทันและเล่นเกมข่มขู่จนในที่สุดต้องมีมติด้วยเสียงข้างมากสี่ต่อหนึ่งให้ปลดป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” ของ “พรรคเพื่อฟ้าดิน” ที่รณรงค์ร่วมกับภาคประชาชน ที่ตอนแรกมีการแถลงออกมาอย่างขึงขังว่าต้องปลดออกให้หมด เพราะทำผิดกฎหมายหลายฉบับทั้งในเรื่อง พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ร.บ.ความสะอาดของ กรุงเทพมหานคร รวมไปถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของตำรวจ ฟังดูแล้วน่ากลัว ทำให้วิตกกันไปว่าบรรดาสิงสาราสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น ควาย เสือ หมา ลิง รวมไปถึง “ตัวเหี้ย” คงต้องหลบออกไปจากท้องถนน คงต้องปล่อยให้ “สัตว์นรก” การเมืองออกมาเพ่นพ่านและเข้าสภากันไปตามสะดวก

ทั้งที่การรณรงค์ของคณะกรรมการเลือกตั้งที่ออกทางสื่อก็ต้องการให้ชาวบ้าน “เลือกคนดีเข้าสภา” แต่กลับมาตั้งแง่เอากับแผ่นป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” พิลึกจริงๆ

ล่าสุดไม่รู้มีอะไรมาดลใจทำให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง อภิชาต สุขัคคานนท์ ออกมาแถลงยืนยันเมื่อวานนี้ (9 มิถุนายน) แล้วว่า มติของ กกต.ไม่ได้สั่งให้ปลดป้าย “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” เพียงแต่ให้ “ปรับขนาด” ลงมาตามที่กำหนด ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าป้ายตรงไหนที่ผิดขนาด เพราะเท่าที่ปิดอยู่ตามข้างทางทั่วไปก็เท่ากับของพรรคการเมืองอื่นหรือผู้สมัครหาเสียงคนอื่น แต่อาจดูเตะตาเรียกความสนใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องรอดูรายละเอียดคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการเสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน ตอนนี้ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถือประหนึ่งว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังต้องเดินหน้ารณรงค์ขัดขวางพวก “สัตว์นรก” กันต่อไปตามปกติ

อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่านาทีนี้พวกเราคนไทยคงหวังพึ่งใครไม่ได้ มีทางเดียวก็คือจะต้องพึ่งพาตัวเอง จะต้องตื่นตัวและลุกขึ้นมาขัดขวางบรรดานักเลือกตั้ง นักลงทุนทางการเมือง ที่รวมหัวกันหากินกับอำนาจทางการเมืองจนร่ำรวย เพราะคนพวกนี้ถือว่าการลงทุนแบบนี้ได้กำไร และคุ้มค่าที่สุด และเร็วที่สุดนั่นเอง

หากจะให้วิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่แรงกดดันให้ปลดป้ายดังกล่าวออกไปก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า ความรู้สึก “เดือดดาล” ของพวกนักเลือกตั้งดังกล่าว เพราะยิ่งชาวบ้านตื่นตัวรู้ทันพวกเขามากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เกิดการทุจริต การใช้อำนาจมิชอบข่มเหงรังแกชาวบ้านมันทำไม่ได้ง่ายอีกต่อไป คนพวกนี้กลัวไปว่าหากคนไป “โหวตโน” หรือไปใช้สิทธิ์ออกเสียงแล้ว “กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน” มากเท่าใด มันก็ยิ่งทำลายความชอบธรรมของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ต่อไปก็จะเป็นแรงกดดันไม่ให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะยังมีคนที่ไม่เอาด้วยมีคะแนนคัดค้านเอาไว้อย่างชัดเจน

แม้ว่าไม่อยากจะพาดพิงให้เสียบรรยากาศ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าการแข่งขันกันทางการเมืองเวลานี้มีอยู่ “สองขั้ว” ใหญ่ คือฝ่ายประชาธิปัตย์ที่ เสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทย ที่เวลานี้ยังเข้าใจเสมือนว่าส่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวแทน “โคลน” ของพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี

หากเปรียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าเมื่อเห็น “สองคนนี้” แล้วทำไมถึงจะต้องอ๊วกและทำไมต้อง “โหวตโน” ก็เพราะมัน “ห่วยแตก” ทั้งคู่ เป็น “หุ่นเชิด” ทั้งคู่

สำหรับคนแรกคือ อภิสิทธิ์ หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและบทบาทระหว่างการเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายกว่าสองปีหกเดือนมีความเข้าใจว่าอยู่ภายใต้การบงการชี้นำของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และภายใต้แรงกดดันของ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และยังมีท่าทีในทำนองว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ชนะกลับมาเป็นรัฐบาลสภาพก็จะกลับมาเหมือนเดิม เพราะทั้งสุเทพ และเนวิน ก็จะมีบทบาทมากกว่าเดิมในเรื่องของโครงการอื้อฉาวที่จะต้องเดินหน้าสานต่อ โดยมี อภิสิทธิ์ ออกมาการันตีประทับตราความบริสุทธิ์เหมือนเช่นเคย ดังนั้นความหมายก็คือ หากเขาเป็นนายกฯ ก็จะมี สุเทพและเนวินเข้ามาด้วย และยังรวมไปถึง บรรหาร ศิลปะอาชา ที่จะต้องต่อรองสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองตามมาแน่นอน

ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งก็คือ หากในที่สุดแล้ว พรรคเพื่อไทยชนะได้เป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือใครก็ตามมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป้าหมายหลักก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคืนอำนาจและคืนเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดไปจากการทุจริตและการใช้อำนาจมิชอบคืนให้ ทักษิณ ชินวัตร ความต้องการหลักๆมีอยู่แค่นี้จริงๆ ซึ่งคนไทยที่ต้องลงทุนไปใช้สิทธิ ประเทศชาติเสียงบประมาณหลายพันล้านบาทเพียงเพื่อ “จะเอา”หรือ “ไม่เอา”ทักษิณ เท่านั้นหรือ

คิดว่าบ้านเมืองจะมีแต่เรื่องทุเรศแบบนี้หรือ แต่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากหนีความจริงไปไม่พ้นหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล และยังมีความจริงมากไปกว่านั้นอีกก็คือเราจะมี รัฐมนตรีที่ชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีชื่อหรือตัวแทนของ เสนาะ เทียนทอง รวมไปถึงมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่ชื่อ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ หรือเราอาจจะมีรัฐมนตรีสาธารณสุขที่ชื่อ นพ.เหวง โตจิราการ ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาจจะมีชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็เป็นได้หากการต่อรองกับคนในกองทัพทำได้ลงตัว

ว่ากันเฉพาะขั้วหลักๆ ที่ต้องเข้ามาใช้อำนาจรัฐ หลังจากผ่านพิธีกรรมจากการเลือกตั้ง การันตีให้เสร็จสรรพแล้ว และนี่คือนักการเมืองที่พวกเขาด้วยกันเองสำคัญผิดคิดว่ามีความสามารถ ประเทศนี้จะขาดพวกเขาไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอาจถึงคราววิบัติ อย่างไรก็ดีในเมื่อชอบอ้างประชาธิปไตยกันนักก็มีสิทธิมองต่างมุมได้เหมือนกันว่าคนพวกนี้หลายคนไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อให้เป็น “เสนียดปาก” เท่าที่เห็น เท่าที่เข้าใจล้วนมีพฤติกรรมไม่ต่างจาก “สัตว์นรก” ที่ต้องกำจัดทิ้งไป และต้องทำมากไปกว่าอย่าปล่อยเข้าสภาด้วยซ้ำไป

ดังนั้นถึงเวลาแล้วจะต้องประกาศสงครามการพวกนักการเมืองเลว สัตว์นรก ซึ่งนาทีนี้วิธีการที่เหมาะสมถูกต้องตามกฎหมายก็คือ “โหวตโน” เท่านั้น!!
กำลังโหลดความคิดเห็น