xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” กระชับกอดเนวิน-เติ้งสร้างละครน้ำเน่า เหม็นจนอ้วก!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผ่าประเด็นร้อน

เห็นการเคลื่อนไหวของบรรดานักเลือกตั้ง พวกที่ “ทำมาหากิน” กับการเมืองมาเกือบชั่วชีวิต ในเวลานี้แล้วเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที บางคนถึงกับเข้าใจผิดคิดว่ายังมีความสำคัญพูดอะไรไปแล้วชาวบ้านเขาจะฟัง หรือบางครั้งหลงไปว่าบ้านเมืองจะขาดตัวเองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะพลังทลายฉิบหายวายป่วง

เชื่อว่าหลายคนคงมีความรู้สึกสับสนระคนโมโห รวมไปถึงเกิดอาการสะอิดสะเอียนกับท่าทีของนักการเมืองที่พยายามแสดงบทบาทให้โดดเด่นกันอยู่ในเวลานี้ เพื่อหวังให้เตะตาชาวบ้าน ซึ่งวันนี้จะยกมาเฉพาะบางคนก่อน เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังบังอาจเสนอหน้าหวังกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากได้ทำหน้าที่ไปแล้วเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ผลงานเป็นอย่างไรเห็นตำตากันอยู่

ส่วนอีกคนก็คือ บรรหาร ศิลปอาชา “คนไม่มีสิทธิ์” เนื่องจากถูกศาลสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทุกกรณี ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่กลับ “เย้ยกฎหมาย” ออกมาให้ความเห็นอยู่ทุกวัน ทำหน้าที่ไม่ต่างจากเจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา แสดงบทบาท “ล้ำเส้น” เข้ามาจนน่าเกลียดขึ้นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพก็ต้องไล่เรียงให้เห็นทีละฉากทีละตอน รวมไปถึงบทบาทที่ต้องแสดงออกมาของแต่ละคนว่ามีความหมาย และต้องการสื่ออะไรให้เห็นตามมาบ้าง

เริ่มจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล่าสุดได้แสดงท่าทีผ่านเฟซบุกส์ของตัวเองโดยยืนยันไม่ได้ “พายเรือให้โจรนั่ง” รวมถึง การสรรเสริญ เนวิน ชิดชอบ ทำนองว่ายอม “หักหลังเพื่อชาติ” อุตส่าห์เสียสละทรยศ ทักษิณ ชินวัตร มาร่วมกอดคอกับตนเองนั้นถือว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งยังได้ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทำนองว่าไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวในแทบทุกเรื่อง รวมไปถึงไม่ได้เป็น “หุ่นเชิด” ให้ทหารอีกด้วย

ถ้าให้ประเมินจากท่าทีดังกล่าวมันก็น่าจะเป็นผลต่อเนื่องหลังจากที่ เนวิน ถูก ทักษิณ ชินวัตร “ตัดหาง” ออกมาแล้ว นั่นหมายความว่าหลังการเลือกตั้งพรรคภูมิใจไทยจะไม่มีโอกาสที่จะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน ดังนั้นทางเลือกก็มีทางเดียวก็ต้องแท็กทีม “กอดคอ” กับ อภิสิทธิ์ อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ได้อ้าแขนรับให้กำลังใจเอาไว้ล่วงหน้าไปแล้ว

ดังนั้น คำพูดของอภิสิทธิ์มันก็ไม่ต่างจากการ “แตะมือ” จับขั้วระหว่างประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย เป็นการ “นำร่อง” เฉพาะสองพรรคเอาไว้ล่วงหน้า จับมือกันหลวมๆไว้ก่อน เพราะสำหรับประชาธิปัตย์แล้วนาทีนี้การได้พวกเข้ามาเพิ่มแบบที่ไม่มีทางไปแบบนี้ถือว่า เพิ่มพลังได้มากขึ้นมาแบบสูสี ทำให้ตัวเลข ส.ส.สองพรรครวมกันแล้วอาจชนะพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ และทำให้ง่ายต่อการไปดึงเอาพรรคที่สามพรรคที่สี่เข้ามาร่วมต่อไป ซึ่งงานนี้ถ้าพิจารณาในทางการเมืองก็คือการแยกมิตรแยกศัตรูกันล่วงหน้า ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ที่บางครั้งอาจจะมองเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่คิดว่าไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้ อย่างพวกที่ทำตัวเป็น “เทพ” ไม่น่าจะกอดคอจับมือกับ “มาร” ที่เคยมองด้วยสายตา “ยี้” มาก่อน

ขณะที่บทบาทของบรรหาร ศิลปอาชา ที่เป็นเจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีอาการ “ดี๊ด๊า” ผิดปกติ เพราะมั่นอกมั่นใจแล้วว่าเขามีแต่ได้กับได้ หรือมีแต่กำไรมากหรือกำไรน้อยเท่านั้นเอง ไม่มีเจ๊าหรือเจ๊งเป็นอันขาด ถ้าโชคดีสามารถดันก้น “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ขึ้นมาเป็น “นายกฯ ปรองดอง” ขึ้นมาได้สำเร็จมันก็เหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งชุดใหญ่

การออกมาเสนอแนวคิดมีการจัดสูตรรัฐบาลอย่างต่อเนื่องของเขา จึงถูกมองนี่คือการเพิ่มพลังการต่อรองของพรรคขนาดกลาง ในท่ามกลางกระแสความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นกับพรรคใหญ่สองพรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าไม่ว่าพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาลมันก็จะเกิดความวุ่นวายตามมา ทำให้เกิดความคิดเคลิ้มฝันกลางวันว่าจะต้องมี “นายกฯ ตาอยู่” ผุดขึ้นมาแทรกกลาง เหมือนกับเสนอขึ้นมา “ตีกิน” เอาไว้ก่อน ได้ไม่ได้ค่อยมาว่ากันทีหลัง

ล่าสุดยังสร้างสีสันเพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วยการเสนอ “บทละครปรองดอง” ระหว่าง อภิสิทธิ์ กับ ยิ่งลักษณ์ แม้ในใจเบื้องลึกจริงๆ ยังไม่อาจประเมินเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่เท่าที่สื่อออกมาให้เห็น บรรหาร กำลังทำตัวเป็น “พ่อสื่อ” ซึ่งในความหมายก็คือ ทำตัวเป็น “ผู้ใหญ่” อยู่เหนือทั้งสองขั้วดังกล่าว เป็นผู้ประสานงานให้ทั้งสองจับมือปรองดองกัน

การเคลื่อนไหวของบุคคลดังกล่าวข้างต้น หากให้ประเมินในภาพรวมมันก็เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า นักการเมือง หรือนักเลือกตั้งพวกนี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจ ไม่ได้มีหลักการ หรือจุดยืนใดๆ ที่มั่นคง เพราะไม่ว่าใคร ไม่สนใจว่าจะมีเบื้องหลังอย่างไร หากตัวเองได้ประโยชน์ หรือรวมกันแล้วต่างได้ประโยชน์ก็ไม่มีปัญหา ทำให้ไม่ต้องแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่า รัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงได้ถูกกล่าวหามีการทุจริตคอรัปชั่นสูงไม่แพ้รัฐบาลในยุค ทักษิณ ชินวัตร หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

ขณะที่ บรรหารคิดว่าตัวเองเป็น “ตัวแปร” สามารถร่วมได้ทั้งสองขั้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นรัฐบาล แต่เวลาเดียวกันกำลังหาทางค้ากำไรเกินควรด้วยการต่อยอดสูตรนายกฯปรองดองขึ้นมา เพื่อให้ตัวเอง “ได้” มากที่สุดเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ชวน “สะอิดสะเอียน” เพราะไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้ทำได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ เพียงเพื่อผลประโยชน์และตำแหน่งเท่านั้น โดยไม่สนใจความรู้สึกของชาวบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่าง อภิสิทธิ์ จะกล้ากล่าวยกย่องชมเชยคนอย่าง เนวิน ชิดชอบ ได้อย่างสนิทปาก ขณะที่ บรรหาร ศิลปอาชา ที่แม้ว่าจะถูกสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทุกรูปแบบ แต่กลับออกมาแสดงความเห็นท้าทายไม่เลิก แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างไม่มีความหมายสำหรับตัวเขา ยังเดินหน้ากำหนดเกมชักใยต่อไป ล่าสุดยังพยายามสร้าง “ละครน้ำเน่า” ออกมาให้เห็นอีก โดยสำคัญผิดไปว่าคนอื่นคงจะชื่นชม ทั้งที่มันเหม็นชวนอ้วกเสียมากกว่า!!
เนวิน ชิดชอบ
บรรหาร ศิลปอาชา
การเมืองเรื่องผลประโยชน์เฉพาะพวกกู-ชาวบ้านไม่เกี่ยว!!
การเมืองเรื่องผลประโยชน์เฉพาะพวกกู-ชาวบ้านไม่เกี่ยว!!
เป็นความเคลื่อนไหวและบรรยากาศการเมืองในยามนี้ ที่นักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลายที่หากินอยู่กับการเมืองต่างออกมาเสนอหน้า เสนอความคิดเห็น ทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้องกับการเมือง และที่สำคัญเป็นการแสดงออกที่ “ไร้มารยาท” เพราะนอกเหนือจากเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการดูถูกชาวบ้าน อย่างที่ไม่สมควรให้อภัยอีกด้วย เนื่องจากทุกคนทราบดีว่าเวลานี้ยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นหาเสียง ยังไม่มีการโหวตลงคะแนนว่าจะให้ใครมาเป็นตัวแทน ยังไม่รู้ว่าใครจะได้กี่เสียง หรือไว้วางใจให้ใครเข้ามา แต่คนพวกนี้ก็ไม่เคยสนใจความรู้สึกคนภายนอกเลยแม้แต่น้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น