เพื่อแม้วร้อง กกต.รายวัน ล่าสุดส่ง “เด็จพี่” เจ้าเดิม จี้เล่นงาน " เจิมศักดิ์" พร้อมถอดรายการ “คลายปม” ออกจากช่อง 11 ฐานทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง “องอาจ” ในฐานะ รมต.กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ด้าน “นพเหล่” เสียงแข็งปฏิเสธช่วง “สมัคร” เป็นรัฐบาลไม่ได้หนุนเขมรให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร แถมเรียกร้อง “มาร์ค” เคารพคำตัดสินศาลโลก ลั่นเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลไม่เอาภูมิใจไทยร่วมงานแน่
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจจากพรรคเพื่อไทยให้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต. ขอให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติและระงับการกระทำอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครและพรรคการเมือง
เนื่องจากมีการออกอากาศของรายการคลายปม ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) ช่อง 11 เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาที่มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายจิตรกร บุษบา เป็นพิธีกรประจำรายการดังกล่าว ได้มีการดำเนินรายการที่มีเนื้อหาเป็นการกล่าวหาใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จและทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งการกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้งสองคนเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 53 (5) และยังเป็นความผิดตามมาตรา 137 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และยังขัดต่อระเบียบของ กกต. เรื่อข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
นอกจากนี้ ขอให้ กกต.ตรวจสอบการทำหน้าที่ของนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ น.ส.รัตนา เจริญศักดิ์ ผอ.สทท. ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ แต่กลับปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ที่อยู่ในการกำกับดูแลโฆษณาหาเสียงอันเป็นโทษกับพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงขอให้ กกต.ดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดี พร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวทั้งหมด และมีคำสั่งระงับการออกอากาศยุติการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและระงับการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อการกระทำใดๆที่อาจจะมีผลต่อการเลือกตั้งและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่กกต.กำหนดโดยพรรคเพื่อไทยได้นำซีดีวิดีโอคลิปรายการดังกล่าวมาเป็นหลักฐาน นอกจากนี้ทางพรรคเพื่อไทยจะยื่นหนังสือต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ที่ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมด้วย
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงการคัดค้านของรัฐบาลไทยในการเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ในการขึ้นทำเบัยนเป็นมรดกโลกว่า ตนขอเอาใจช่วยรัฐบาลที่จะให้ขอให้องค์กรยูเนสโกเลื่อนแผนการจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารออกไปก่อน แต่ตนไม่ค่อยสบายใจจากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำที่พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นๆ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นผู้ที่พูดเท็จเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหารมาตลอด โดยเฉพาะการอ้างว่ารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ยอมให้กัมพูชาขอขึ้นปราสาทเขาพระวิหารแต่ฝ่ายเดียวถือเป็นความเท็จ ตนอยากจะเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ให้รับผิดชอบต่อคำตัดสินของศาลโลก ไม่ว่าคำตัดสินจะเป็นเช่นไรก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีความพยายามที่จะยัยยั้งไม่ให้ทางประเทศกัมพูชานำเรื่องนี้ขึ้นต่อศาลโลกมาโดยตลอด แต่รัฐบาลชุดนี้กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศย่ำแย่ลง
ส่วนที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะมีการทาบทามให้พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ นายนพดล กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนเสียงและสามารถจัดตั้งรัฐบาล การเข้าร่วมงานกับพรรคชาติไทยพัฒนา ก็มีความเป็นไปได้ เพราะเคยทำงานร่วมกันมา แต่ที่เป็นไปได้ยากคือพรรคภูมิใจไทย
ส่วนกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีทางเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยนั้น ตนก็คือว่า พรรคเพื่อไทยก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ส่วนความชัดเจนในการดึงพรรคร่วมว่าจะเป็นพรรคใด คงจะเกิดขึ้นได้หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว เนื่องจากในตอนนี้ก็คงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่พบปะประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินมีการติดต่อกันตลอด นายนพดล กล่าวว่า ทั้ง 3 คนก็เป็นคนที่เคยทำงานร่วมกันมา แต่หากจะพูดว่ามีการหารือถึงการจับมือกันตั้งรัฐบาลนั้นคงจะยังไม่ไกลไปถึงขนาดนั้น