ชพน.เปิดนโยบายสังคม ชู 5 ด้านสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มเบี้ยคนแก่-พิการอีกเท่าตัว มุ่งพัฒนาการศึกษา สร้างต้นทุนมนุษย์ หนุนไทยเป็นฮับอาเซียน เน้นอัดงบองค์กรท้องถิ่น ขึ้นเงินเดือน อบจ.-อบต. แถมเบี้ย อสม. อปพร.อีกพันบาทต่อเดือน แขวะ ปชป.เรียนฟรีไม่จริง
วันนี้ (25 พ.ค.) ที่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัวนโยบายด้านสังคม โดยมี นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรค ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.นครราชสีมา นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 4 หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายชาติชาย พุคยาภรณ์ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อลำดับที่ 7 นายโสภณ ดำนุ้ย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 กทม. และ น.ส.วรสุดา สุขารมณ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.กาญจนบุรี ร่วมในการแถลงข่าว
โดย นพ.วรรณรัตน์กล่าวว่า ทางพรรคได้กำหนดนโยบายสังคมไว้ใน 5 ด้านด้วยกัน คือ 1.สุขภาพดีทั่วไทย 2.ประชาชนมีคุณภาพ 3.ขยายระบบสวัสดิการ 4.เพิ่มเงินอุดหนุนท้องถิ่น และ 5.รักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่ความประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง สังคมยั่งยืน ซึ่งสิ่งสำคัญคือในเรื่องของสุขภาพดีทั่วไทย และการพัฒนาพัฒนาคนด้านการศึกษา ทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต ที่จะเป็นหนทางไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อร่วมมือพัฒนาประเทศให้เข้มแข็งต่อไป ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงบุคคลที่ด้อยโอกาส ที่เราต้องหยิบยื่นโอกาสให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพชีวิตที่ดี เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่ดี ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ขึ้นในสังคม
ต่อมานายชาติชายกล่าวต่อถึงนโยบายด้านการศึกษาว่า หากต้องการให้ประชาชนมีคุณภาพที่ดี ต้องมั่งเน้นเรื่องการสร้างทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในโลกปัจจุบัน เพราะในอดีตจนถึงปัจจุบันการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยยังขาดการสนับสนุนที่ดี รวมไปถึงสถิติในด้านการศึกษาที่ประเทศไทยมักอยู่ในลำดับท้ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไขโดยด่วน ทางพรรคจึงเสนอโครงการต่างๆออกมา อาทิ สนับสนุนโรงเรียน 2 ภาษาทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา และเป็นการรองรับเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการศึกษาของอาเซียนอีกทางหนึ่ง พร้อมทั้งการสร้างศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ในทุกจังหวัด ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ และพัฒนาตัวเอง ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ และให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในส่วนของโครงการเรียนฟรีนั้น ทางพรรคยังเห็นว่า ในปัจจุบันยังไม่ใช่การเรียนฟรีที่แท้จริง โดยต้องเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ไม่ใช้สร้างภาระเพิ่มขึ้น ให้เกิดอุปสรรคแห่งการเรียนรู้ โดยทำให้การศึกษาฟรีจริง สุดท้ายต้องทำให้ท้องถิ่นเกิดความร่วมมือกับสถานศึกษา การลงรากลึกถึงการพัฒนาเยาวชน โดยการตั้งกองทุนพัฒนาเยาวชนในระดับหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 แสนบาท เป็นต้น
ส่วนนายโสภณกล่าวเพิ่มเติมในส่วนของการขยายระบบสวัสดิการสังคมว่า ในเรื่องสวัสดิการสังคมนั้น เราต้องมองให้ทั่วทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก คนทำงาน คนชรา จนไปถึงคนพิการ ซึ่งพรรคได้เขียนเป็นนโยบายไว้ และสามารถนำเสนอออกมาเป็นโครงการได้ เช่น โครงการเงินออมคูณสอง โดยมีเงินออมตั้งแต่วันแรกเกิดไปถึงอายุครบ 20 ปี ต้องมีเงินออมคนละ 1 ล้านบาท ในส่วนของคนทำงานให้มีการเพิ่มสิทธิ์เงินประกันสังคมเป็น 2 เท่า และคืนเงิน 10 เปอร์เซ็นต์กรณีที่ไม่ได้ใช้ค่ารักษาพยาบาล สร้างระบบประกันสังคมสำหรับภาคเกษตรกรที่ถูกเหลียวแล เพิ่มเบี้ยยังชีพและผู้สูงอายุจาก 500 บาทเป็น 1,000 บาท และการจัดตั้งบ้านพักผู้สูงอายุตามจังหวัดต่างๆ เป็นต้น
นายโสภณยังได้กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของโครงการด้านสิ่งแวดล้อมด้วยว่า จะสนับสนุนมีการสร้างระบบน้ำเสียรวมกลุ่มอาคาร ในลักษณะการสร้างระบบป้องกันชุมชนร่วมกัน ลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบ้านอาคารประหยัดพลังงาน ลดภาษีให้กิจการที่ลดมลพิษได้มากกว่ากฎหมายกำหนด ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่มีการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมประจำจังหวัด เป็นต้น
ด้าน น.ส.วรสุดา ซึ่งรับผิดชอบในส่วนของการเพิ่มเงินอุดหนุนท้องถิ่นกล่าวว่า ปัญหาในท้องถิ่นหนีไม่พ้นคุณภาพชีวิต สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วประเทศ ทั้งน้ำประปา ไฟฟ้า และถนน ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตทั้งหมด โดยในส่วนนี้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งองการค์บริหารส่วนตำบล (อบต.) และองการบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ดูแลอยู่ เมื่อพรรคเล็งเห็นถึงบทบาทสำคัญขององค์กร จึงได้คิดนโยบายอุดหนุนงบประมาณเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ทั่วประเทศในทุกปี จนครบ 35 เปอร์เซ็นต์ จากทุกวันนี้ที่ได้รับอยู่ 26 เปอร์เซ็นต์ พร้อมการปรับอัตราค่าจ้างค่าตอบแทนให้ผู้บริหารและสมาชิก เพิ่มไม่น้อยกว่า 20 ในส่วน อบต.ขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม สามารถเสนอเพื่อขอยกระดับให้เป็นเทศบาลได้ ทั้งยังมีเบี้ยสวัสดิการให้กลุ่มคนทำงานอาสามัคร อีกเดือนละ 1,000 บาท เช่น อสม. อปพร. และหมอดินอาสา เป็นต้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความสำคัญต่อท้องถิ่นมาก