ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ไฟเขียวกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจำนวน 3 ฉบับว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ไปเมื่อวานนี้ (9 พฤษภาคม) นั่นก็หมายความว่าเริ่มนับถอยหลังสู่วันเลือกตั้งกันได้เลย เพราะนาทีนี้ไม่ต้องไปสนใจแล้ว นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะประกาศยุบสภาวันไหน วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ต้องเกิดขึ้นแน่
แต่สิ่งที่ต้องมองข้ามช็อตไปก็คือ หลังการเลือกตั้งแล้วใครจะมา หรือมีเสียง “โหวตโน” กันถล่มทลาย จนมีคะแนนมากกว่าเลือกพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือมีเป็นจำนวนมาก ถึงตอนนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ เพราะเท่ากับว่าเป็นแรงกดดันให้ต้องมีการปฏิรูปการเมืองกันครั้งใหญ่ โดยมีประชาชนมีส่วนร่วมกันทุกภาคส่วน มีการออกแบบการเมืองกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติลงมาถึงท้องถิ่น ตำบล หมู่บ้าน ซึ่งจะต้องมาว่ากันในรายละเอียดโอกาสต่อไป
สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องมาพิจารณากันก็คือ ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และพรรคการเมืองไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในราวปลายเดือมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากผลสำรวจจากหลายสำนัก ทั้ง เอแบคโพลล์ และสวนดุสิตโพล ล้วนออกมาตรงกันว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลัง “แผ่วลง” เรื่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบผลสำรวจแค่เดือนเมษายนกับต้นเดือนพฤษภาคมจากเดิมที่พรรคประชาธิปัตย์นำพรรคเพื่อไทยกลายมาเป็นตามหลังแทบจะทุกด้าน ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นเริ่มนำแต่ก็ยังถือว่าไม่มาก คะแนนที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงแค่จุดทศนิยมเท่านั้น ไม่ได้ “ฟีเวอร์” อะไรมากมาย
บรรยากาศและความรู้สึกของชาวบ้านที่เกิดขึ้นแบบนี้ มันก็แทบไม่น่าเชื่อว่าพรรคที่เป็นรัฐบาลและคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารบ้านเมือง มีอำนาจรัฐอยู่ในมือน่าจะรู้จักการบริหารจัดการ สร้างความนิยมให้เกิดขึ้นกับตัวเองและพรรคที่ตัวเองสังกัดได้ไม่ยาก เพราะอย่างน้อยก็มีสื่อของรัฐอยู่ในมืออยู่มากมาย
แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สร้างความเบื่อหน่าย เปิดเผยความเป็น “ของปลอม” ไม่ใช่มืออาชีพแบบคนรุ่นใหม่อย่างที่หลายคนได้ตั้งความหวังเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ก็คือ “คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี” เท่านั้น ไม่มีอำนาจ และบารมีติดตัวเลยแม้แต่น้อย และสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นเพราะเขา “ไม่มีความกล้า” ไม่รู้จักสร้างมันขึ้นมา
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีเป็นอยู่หากพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็คือ “หุ่นเชิด” ให้กับกลุ่มอำนาจที่แวดล้อมรอบตัวเท่านั้นเอง เพราะถ้าอยากพิสูจน์ก็ลองถามชาวบ้านทั่วไปดูก็ได้ว่าระหว่าง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ใครคือคนที่มีอำนาจ “ตัวจริง” ในรัฐบาลนี้
หรือไม่ก็ลองถามว่าถ้า เนวิน ชิดชอบ ผู้อุปถัมภ์พรรคภูมิใจไทยต้องการสิ่งใด โครงการไหน นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ จะกล้าขัดข้องหรือไม่ แล้วลองถามต่ออีกว่าทั้งสองคนที่กล่าวมามีภาพลักษณ์ที่เป็นบวกหรือเป็นลบ และถามเป็นคำถามสุดท้ายต่อไปว่าข่าวอื้อฉาวที่ผ่านมาในรัฐบาลล้วนเกิดขึ้นจากคนจำพวกนี้หรือไม่
แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นจุดเด่นก็มีเช่นเดียวกันคือ นายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นคนพูดเก่ง พูดไม่หยุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ถูกค่อนขอดว่า “ดีแต่พูด” ความหมายก็คือพูดมาก แต่ไม่ทำ หรือทำไม่ได้นั่นแหละ
อีกมุมหนึ่งหากต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทย และทักษิณ ชินวัตร ที่เมื่อดูจากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาจะเห็นว่าเริ่มนำหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถึงอย่างไรมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ แต่สิ่งที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ เป็นเพราะผู้นำคือ นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่สามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
ทั้งพรรคเพื่อไทย และทักษิณ แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย มิหนำซ้ำถ้าพิจารณากันจริงแล้ว การที่พรรคเพื่อไทยสนับสนุนและร่วมเคลื่อนไหวกับแกนนำคนเสื้อแดงในการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองจนฉิบหายวายป่วงถึงสองปีซ้อน คนที่เป็นหัวหน้า บงการอยู่ข้างหลังก็เป็นแค่ “ไอ้คนขี้โกง” ถูกศาลยุติธรรม (ไม่ใช่ศาลเตี้ย) ตัดสินจำคุกกำลังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ภายในพรรคก็มีแต่ความแตกแยก จนปัจจุบันก็ยังไม่มีหัวหน้าพรรคตัวจริง คนพวกนี้ หากพิจารณากันตามเหตุผลคงไม่อาจกลับมาเกิดได้อีกเลยในชาตินี้ แต่กลายเป็นว่าด้วยความไม่เอาไหนของรัฐบาลและผู้นำคนปัจจุบัน ทำให้ชาวบ้านไม่น้อยต้องหันกลับไปโหยหาโจร ทำให้กลายเป็น “วีรบุรุษ” หน้าตาเฉย
ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่ากระแส “โหวตโน” มีผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เวลานี้เริ่มมี “วิชามาร” รวมไปถึงวาทะ “บิดเบือน” ออกมา เช่น “ไม่เลือกเราเขามาแน่” หรือ “โหวตโนอยากให้ ทักษิณกลับมาหรือ” อย่างนี้ เป็นต้น แต่ก็ต้องถามกลับไปว่าที่ผ่านมาทำไมสร้างผลงานให้โดดเด่นติดตาชาวบ้าน ทำไมไม่ทำอย่างที่พูด โดยจัดการเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นให้เด็ดขาด ไม่ใช่กลายเป็นว่าเป็นรัฐบาลที่ทุจริตไม่ต่างจาก ยุคทักษิณ หรือมากกว่าด้วยซ้ำไป และทำไมถึงยอมให้คนอย่าง สุเทพ-เนวิน ครอบงำ เป็น “หุ่นเชิด” ของคนพวกนี้
ดังนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่ถูกมองว่ามีส่วนหนุนส่งให้โจรกลายเป็นวีรบุรุษ และนาทีนี้สิ่งที่ดีที่สุดก็คือหยุดบ่น หยุดโวยวายเสียที เพราะทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว!!