xs
xsm
sm
md
lg

ปล่อย “ขี้ยา” ก่อเหตุฆ่ากลางกรุง สะท้อนตำรวจนครบาลไร้น้ำยา!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงจากแก๊งป่วนเมืองเหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนชาวไทยได้เฉลิมฉลองวันปีใหม่ไทยกันอย่างสบายใจ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมาเผาบ้านเผาเมืองกันอีก แต่พอเข้าสู่ปีใหม่ได้เพียงวันเดียว กลับเกิดหตุสลดขึ้นกลางใจเมืองกรุงในช่วงสายของวันที่ 14 เม.ย.

หลังจากคนร้าย นายธาดา อินทมาศ อายุ 37 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช ก่อเหตุจี้ชิงรถยนต์ของ ร.ต.วิชัย วิไลรัศมี นายทหารนอกราชการ บริเวณหน้าโรงพยาบาลอนันต์ 2 ท้องที่ สภ.บางกรวย และขับมุ่งตรงข้ามฝั่งมาก่อเหตุแย่งชิงอาวุธปืนจาก ด.ต.ลิขสิทธิ์ พิราศรี ผบ.หมู่จราจร สน.ดุสิต ที่ประจำการอยู่ที่ป้อมตำรวจจราจร บริเวณแยกขัตติยานี ก่อนใช้มีดกระหน่ำแทงและใช้ปืนจ่อยิงที่ศรีษะ ด.ต.ลิขสิทธิ์ เสียชีวิตบริเวณข้างป้อมตำรวจดังกล่าวอย่างโหดเหี้ยม ท่ามกลางสายตาประชาชนที่เห็นเหตุการณ์

ไม่เพียงเท่านั้น นายธาดายังได้ขับรถหลบหนีมุ่งหน้าไปยังแยกสุโขทัย ต่อไปที่แยกสวรรคโลก ก่อนสิ้นสุดที่บริเวณแยกศรีอยุธยา ตรงจุดนี้ได้มีรถแท็กซี่สีชมพูเข้ามาขัดขวางก่อนที่นายธาดาจะใช้อาวุธปืนยิง นายอำนาจ พวงสูงเนิน คนขับแท๊กซี่ เสียชีวิตคาที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ใช้ปืนก่อเหตุจี้รถยนต์ของของ พญ.พิภัทรา สายโลหิต แพทย์ประจำโรงพยาบาลค่ายสุรนารี พร้อมจับเป็นตัวประกัน และขับรถมุ่งหน้าไปทาง ถ.ราชวิถี ก่อนมาถูก “วิสามัญฆาตกรรม” ที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี

จากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายอาจวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่เกินกว่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ถ้า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและระงับเหตุได้อย่างทันท่วงทีการสูญเสียคงไม่เกิดขึ้นเช่นนี้

เพราะเมื่อพิจารณาจากห้วงเวลาจากจุดแรกที่คนร้ายก่อเหตุมาถึงจุดที่ถูกวิสามัญฯที่มีระยะทางกว่า 8 กม. กินเวลาในการก่อเหตุไม่ต่ำกว่า 30 นาที

สะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติงานที่ “ล่าช้า” ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างชัดเจน แม้ว่าข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่างๆจะมีการระบุถึงการติดตามไล่ล่าคนร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเท็จจริงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

การกล่าวอ้างว่า มีการติดตามของตำรวจ สภ.บางกรวย เจ้าของพื้นที่โรงพยาบาลอนันต์พัฒนา 2 มาถึงแยกขัตติยานีนั้นขัดแย้งโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อคนร้ายก่อเหตุสังหาร ดต.สิขสิทธิ์ กลับไม่ได้มีรายงานที่ระบุว่ามีตำรวจอยู่ในจุดเกิดเหตุ มีเพียงประชาชนที่เห็นเหตุการณ์เท่านั้น และไม่ได้มีการประสานแจ้งเส้นทางหลบหนีของคนร้าย ทำให้ ดต.ลิขสิทธิ์ พบเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จึงไม่สามารถป้องกันตัวเอง และถูกทำร้ายจนเสียชีวิตในที่สุด

ซ้ำร้ายผู้ที่ไปถึงตัวคนร้ายและเข้าระงับเหตุกลับเป็น “แท๊กซี่พลเมืองดี” ที่รับฟังการรายงานข่าวจากวิทยุ จส.100 และตัดสินใจขับรถเข้าขัดขวาง ก่อนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับ ดต.ลิขสิทธิ์ เพราะไม่ได้มีอาวุธประจำกายเฉกเช่นตำรวจ

จุดนี้ก็ไม่ได้มีรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุเช่นกัน ยืนยันได้จากภาพถ่ายจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตลอดเส้นทางที่เห็นท่วงท่าที่ก่อเหตุอัน “อุกอาจ” ของคนร้ายในทุกจังหวะ
ที่ไม่มีแม้แต่เงาของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”

รายงานจากศูนย์รวมข่าว กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ “ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า” ของตำรวจ 191 แจ้งว่า ในความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ศูนย์ผ่านฟ้าได้แจ้งเหตุมาที่ศูนย์วิทยุของทุกกองบังคับการในสังกัด “กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)” ให้แจ้งสกัดจับคนร้ายตามเส้นทางหลบหนีตั้งแต่ต้นแล้ว ก่อนเกิดเหตุที่แยกขัดติยานีด้วยซ้ำ

แถมเมื่อคนร้ายชิงรถและจับตัวประกันไป ยังกินเวลาอีกกว่า 20 นาที จนมาถึงบริเวณแยกราชวิถี ที่ตำรวจใช้เวลา 3 นาทีหลังถึงที่เกิดเหตุก่อการวิสามัญฯคนร้าย โดยอ้างว่าไม่ทราบว่ามีตัวประกันอยู่ในรถ ทำให้ พญ.พิภัทรา ถูกกระสุนลูกหลงบาดเจ็บไปด้วย ทั้งที่ผู้เป็นแม่ของ พญ.พิภัทราได้เดินทางเข้ามาขอความช่วยเหลือที่หน้าศูนย์วิทยุผ่านฟ้าด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ และแจ้งด้วยว่าลูกสาวของตัวเองจี้บังคับเป็นตัวประกันนั่งไปในรถที่คนร้ายกำลังขับหลบหนีไป

“โศกนาฏกรรม” ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้ 2 ผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย การวิสามัญฯคนร้ายได้จึงไม่ใช่ผลสำเร็จ การเฝ้าระวังและระงับเหตุอย่างทันท่วงทีต่างหากที่ประชาชนต้องการ

สาเหตุหนึ่งอาจอ้างได้ว่าคนร้ายคลุ้มคลั่งก่อเหตุไม่คาดฝัน แต่อีกสาเหตุก็หนีไม่พ้นต้อง “ตำหนิ” วิธีการทำงานที่ขาดการประสานงานที่ดีของตำรวจ บช.น.ในยุคที่มี พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผู้บังคับบัญชา ที่ประกาศคำขวัญไว้สวยหรูว่า "สุขเถิดประชา ตัวข้าฯจะคุ้มภัย" หรือแม้แต่ “กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ” หรือตำรวจ 191 ที่อยู่ในสังกัด บช.น.เอง ก็ทำงานไม่สมกับหน่วยงานที่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณในการจัดซื้อมหาศาล

และเพิ่งโหมโปรโมทโครงการ “สายตรวจไฮ-เทค” ที่ใช้โดยนำคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Tablet PC) ในการป้องกันอาชญกรรมไปเมื่อไม่นานมานี้

ยิ่งหากยึดตามคู่มือการปฏิบัติงาน ซึ่งมีระบุไว้ชัดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถึงที่เกิดเหตุให้ได้ภายใน 3 นาที เพื่อทำการระงับเหตุ ที่สำคัญจุดที่เกิดเหตุอยู่ไม่ห่างจาก “วังปารุสกวัน” ที่ทำการ บช.น. และยังเป็นพื้นที่ชั้นในใจกลางเมืองกรุงอีกด้วย ดังนั้นหากไม่สามารถระงับเหตุได้ อย่างน้อยต้องมีมาตรการในการกดดันผลักดันออกไปจากพื้นที่ชุมชนมากที่สุด

แต่กลับกลายเป็นว่าเกิดเหตุ ณ ศูนย์กลางของการคมนาคมของกรุงเทพฯ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายและเกิดการสูญเสียมากกว่านี้ หากคนร้ายไม่ใช่แค่ “ขี้ยา” ที่คลุ้มคลั่งเท่านั้น

การปฏิบัติงานที่ไม่เป็นระบบเช่นนี้ จึงอดสงสัยไม่ว่า แท้จริงแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจทำอะไรกันอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันว่าช่วงวันที่ 13 - 15 เม.ย.สั่งการให้ตำรวจในสังกัด บช.น.อยู่ประจำการและห้ามลาหยุดเด็ดขาด พร้อมตั้งด่านตรวจและดูแลความสงบเรียบร้อย ทั้งพื้นที่ชั้นนอกและชั้นในกว่า 30 ด่าน โดยเน้นตรวจค้นวัตถุระเบิด บุคคลและสิ่งต้องสงสัยป้องกันการก่อเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับความปลอดภัยอีกด้วย

แต่มาตรการดูแลพื้นที่กทม.ตามประกาศของตำรวจนครบาล เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเลยตลอดช่วงสายของวันที่ 14 เม.ย. จนเกิดเป็น “โศกนาฏกรรม” ในที่สุด และเป็นสิ่งสะท้อนถึง“ความไร้ประสิทธิภาพ” ของ บช.น.ในยุคที่มี พล.ต.ต.จักรทิพย์ ซึ่งเป็น “สายตรง” ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่ไร้น้ำยาไม่สมราคาคุย หรือดีแต่เอาเวลาราชการไปรับใช้นักการเมือง

อาจถึงเวลาที่ต้อง “ล้างบาง” ทำความสะอาด บช.น.อีกหน
กำลังโหลดความคิดเห็น