“ประพันธ์” ชูอบรมพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง หวังแลกเปลี่ยนการทำงาน “เจ๊สด” หวังหล่อหลอมบุคลากรที่ดีให้แก่ประเทศ เล็งให้นักศึกษาหลักสูตรสังเกตการณ์เลือกตั้ง โวหลักสูตรทำคนไทยรักใคร่ ขนาด “ยะใส” ยังกอดคอจิบแชมเปญ ส.ส.พท.ได้เลย
วันนี้ (8 เม.ย.) ที่ รร.ดุสิตปริ๊นเซส เกาะช้าง จ.ตราด นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง และนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้เดินทางมาบรรยายสรุปผลการจบการศึกษาให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร พัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 2 (พตส.2) ประจำปี 2553 ของสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีนักการเมือง ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานและองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีชื่อเสียงเข้าร่วม โดยนายประพันธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า กกต.จัดให้มีหลักสูตรการอบรบดังกล่าวเนื่องจากว่าในรัฐธรรมนูญปี 50 ได้ บัญญัติให้ กกต.ให้การศึกษาเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งลำพัง กกต.เพียงหน่วยงานเดียวคงไม่มีความสามารถที่จะจัดการการอบรมได้ทั่วถึง ซึ่งในช่วงแรกของการจัดอบรมสื่อมวลชนท้วงติงว่าอาจจะไม่มีประโยชน์เท่าใด แต่ กกต.มองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานมากกว่า โดยการจัดอบรมมาแล้ว 2 รุ่น อาจยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็จะมีการปรับปรุงในโอกาสต่อไป เพราะหากไม่มีระบอบประชาธิปไตยนักการเมืองก็จะไม่มีเวทีเล่น กกต.ก็จะไม่มีงานทำ
ด้าน นางสดศรีกล่าวว่า กกต.ทั้ง 5 คนก็เปรียบเสมือนเป็นฝาแฝดกัน เพราะต้องเดินไปด้วยกัน รับผิดชอบร่วมกัน ได้ความดีความชอบด้วยกัน และจะทำคนเดียวไม่ได้ หาก กกต.คนอื่นไม่สนับสนุน ทั้งนี้ก่อนที่จะมาเป็นหลักสูตรนี้ ตนเป็นคนชอบลองจึงไปเรียนหลักสูตรอื่น เก็บจุดอ่อนจุดแข็งมาทำการวิจัยเพื่อปรับปรุงหลักสูตรของ กกต.ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่า กกต. สามารถจัดหลักสูตรด้านการเลือกตั้งได้ดีกว่าองค์กรอื่น เพราะมีบุคลากร เครื่องมือต่างๆ และมีจุดขายมากกว่า รวมทั้งเชื่อว่าโครงการนี้ยังดำเนินการต่อไปอีกหลายรุ่น เพื่อให้เป็นหลักสูตรระดับประเทศ แม้จะพ้นวาระของ กกต.5 คนก็ตาม และหากโครงการนี้ผ่านไป 10 ปี ก็สามารถหล่อหลอมบุคคลากรที่ดีให้ประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ตนมีความคิดว่าจะให้นักศึกษาพตส.ทั้งสองรุ่นที่ผ่านมามาช่วยเหลืองานของ กกต.ด้วยการเป็นผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ ชี้ชะตาพรรคการเมือง แต่ตนพูดแทนไม่ได้ว่าจะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ว่า พตส.จะอยู่พรรคไหนก็มาทำงานร่วมกับ กกต.ได้
นางสดศรีกล่าวต่อว่า ยืนยันว่าคนไทยไม่มีการแย่งขั้วแบ่งค่ายกัน มีความจริงใจให้กัน รักใคร่กันมาก เห็นได้จากนักศึกษา พตส.ทั้ง 2 รุ่น เช่น นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ เมื่อตอนไปดูงานที่ประเทศอังกฤษ ยังกอดคอดื่มแชมเปญร่วมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แสดงว่าไม่มีความแตกแยกกัน เพราะอุดมการณ์การเมืองเป็นเพียงความคิดเห็นที่ต่างกันเท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ พตส.มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นเดียวกับ พตส.รุ่น 2 ไม่มีความแตกแยกกัน มีการกอดคอกัน ไม่แบ่งแยกว่าเป็นพรรคไหน มีความเป็นองค์กรเดียวกัน มีเลือดสีเดียวกัน ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของโครงการที่ให้แต่ละค่ายอยู่ร่วมกันได้ เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่จะหล่อหลอมบุคคลที่มีความคิดต่างกันให้มาอยู่ในความคิดเดียวกันได้ อีกทั้งตนมีความคิดว่าในหลักสูตรนี้อาจให้มีทดลองการเลือกตั้ง มีรัฐบาล และรัฐมนตรีสมมติขึ้นมา เพื่อระดมความคิดกันว่าจะแก้ไขบ้านเมืองในขณะนี้อย่างไร เพราะเชื่อว่านักศึกษาหลายคนมีความคิดที่ดีกว่านักการเมือง