“หญิงหน่อย” ไม่รู้เหตุ “เฉลิม” ออก ส.ส.ปัดมีพวกขวางลูกสวมเสื้อ พท.ลงเลือกตั้ง

“สุดารัตน์” ชู เพื่อไทยมีศักยภาพเป็นพรรคเบอร์ 1 แนะยุติความขัดแย้งภายใน ไม่รู้ “เหลิม” ออก ส.ส.สัดส่วน ปัดมีคนขวางลูกลงเลือกตั้ง วอนอย่าห่วงจะเข้าไปยุ่ง ยันไม่พบมีอดีตเด็ก “แม้ว” เข้าพรรค “ปุ” เชื่อ ชิงพื้นที่ กทม.ปชป.ได้ ชูนายกฯ ใหม่ เสียสละ ปรองดอง - “สุรพงษ์” เชื่ออดีต ปธ.ส.ส.ยังร่วมงานพรรค

วันนี้ (24 มี.ค.) ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย จนทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ลาออกจาก ส.ส.สัดส่วน ว่า ขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งในทุกพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องนำเสนอนโยบายในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญ ซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีศักยภาพ ที่จะเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้อยู่ และจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะต้องเดินหน้าลดความขัดแย้ง มองถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เพราะรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนและทุจริตคอร์รัปชันได้ ดังนั้น ในอีก 1 เดือนที่จะมีการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะต้องยุติความขัดแย้งสร้างความสามัคคีภายในพรรค เพื่อเดินหน้าเข้าสู่เลือกตั้ง

เมื่อถามย้ำว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม ลาออกจากการเป็น ส.ส.จะทำให้การสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยสะดุดหรือไม่ คุณหญิง สุดารัตน์ พยายามเลี่ยงที่จะตอบ โดยบอกว่า ตนเป็นผู้ที่หมดอายุแล้ว ไม่สามารถช่วยงานการเมืองได้ และดิฉันเคยเป็นคู่ขัดแย้งกับ ร.ต.อ.เฉลิม ความเห็นตนอาจจะทำให้พรรคปั่นป่วนได้ และไม่ทราบข้อเท็จจริงของการที่ ร.ต.อ.เฉลิม ลาออกจริง แต่เมื่อตอนนี้จะต้องเข้าสู่สนามการเมือง ควรยุติขัดแย้งได้แล้ว ส่วนที่มีข่าวว่าอีกสาเหตุที่ ร.ต.อ.เฉลิม ลาออก เพราะมีการขัดขวางไม่ให้ลูกชายลงสมัคร ส.ส.กทม.โดยโยงกับตนนั้น ตนได้ยินในทางตรงกันข้าม และไม่ได้ยินว่า มีใครไปขัดขวางไม่ให้ลงสมัคร อีกทั้งส่วนตัวอยากบอกว่า อย่ามากังวลตน เพราะยังเหลือเวลาอีก 1 ปีเศษอยู่ เพราะได้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ปัญหาในพรรคเพื่อไทย ก็ให้เขาว่ากันในพรรคไปเถอะ

คุณหญิง สุดารัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า ไม่ได้มีอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนเข้าไปร่วมทำงานการเมืองกับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาสันติ แต่ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้ประชาชนได้มีทางเลือกมากขึ้น เพราะประชาชนจะตัดสินใจในตัวพรรคการเมือง และยุทธศาสตร์ไม่ใช่ดูเพียงแค่ตัวบุคคลอย่างเดียว ทั้งนี้ ยังเร็วไปหากจะวิเคราะห์ว่าการที่ ร.ต.อ.ปุระชัย ลงเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้พรรคเพื่อไทยจะถูกแบ่ง ส.ส.ไป เพราะยังไม่เห็นตัวนโยบายของพรรคใด แต่ขณะนี้คนกรุงเทพฯก็เบื่อพรรคประชาธิปัตย์อยู่เยอะเหมือนกัน ถ้ามองแล้วอาจจะแบ่งจากพรรคประชาธิปัตย์ไปเยอะกว่า แต่ต้องดูนโยบายที่แต่ละพรรคจะนำเสนอก่อนถึงจะสามารถบอกได้

ส่วนที่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเห็นด้วยที่ คุณหญิง สุดารัตน์ และ ร.ต.อ.ปุระชัย เหมาะสมเป็นนายกฯนั้น คุณหญิง สุดารัตน์ กล่าวว่า ตนไม่เคยใฝ่ฝันจะเป็นนายกฯ แต่ก็เห็นว่าในยามนี้คนที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ น่าจะมีคุณสมบัติ คือ มีความพร้อมในการทำความเข้าใจทุกฝ่าย พร้อมเป็นผู้เสียสละ ทำให้ประเทศเกิดความสามัคคีปรองดอง ลดละตัวตน ความเคียดแค้น เอาประเทศเป็นที่ตั้ง และเป็นผู้มีความรู้ มีทีมงานด้านเศรษฐกิจที่ดีพอสมควร เพราะการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลนี้ ทำให้ประชาชนประสบปัญหาข้าวยากหมากแพง

คุณหญิง สุดารัตน์ ยังกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตนไม่กล้าวิจารณ์ว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะเหมาะสมเป็นนายกฯหรือไม่ เพราะทั้งสองคนมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน เป็นเรื่องที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจ นายมิ่งขวัญ ก็เหมาะสม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ความเป็นผู้หญิงก็อาจจะลดความร้อนแรงทางการเมือง เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามสามัคคีได้ เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทย ว่า จะตัดสินใจชูใครเป็นนายกฯในการเลือกตั้ง

ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม ลาออก ว่า ส่วนตัวมั่นใจว่า ร.ต.อ.เฉลิม จะไม่ไปไหน และยังอยู่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพราะตลอดที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม ได้ประกาศมาตลอดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แล้วจะพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย ดังนั้น เมื่อไหร่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามานำพรรคเพื่อไทย ส่วนตัวเชื่อว่า ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะกลับมาทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างแน่นอน จะไม่พรรคทิ้งไปไหน เพราะได้พูดยืนยันมาตลอดพร้อมสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้ แหล่งข่าวภายในพรรคเปิดเผยถึงกรณีการลาออกจาก ส.ส.สัดส่วน ของ ร.ต.อ.เฉลิม ว่า สาเหตุที่ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ตัดสินใจลาออกในครั้งนี้ ก็เนื่องจากว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีพื้นที่ให้กับบุตรชายของ ร.ต.อ.เฉลิม ลงรับสมัครการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า จึงเป็นเหตุทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม รู้สึกไม่พอใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว