ทีมโฆษกเพื่อไทย ชำแหละฮั้วประมูล 3จี ให้กลุ่มทุนภาคเอกชน ทำให้ กสทช.ต้องสูญเสียผลประโยชน์ 6 หมื่นล้าน และประชาชนต้องเสียโอกาสใช้เทคโนโลยี ซัดการทำสัญญาผิดหลักธรรมาภิบาล เอื้อประโยชน์ให้ตระกูล “เวชชาชีวะ” เอี่ยวบอร์ด ทรู คอร์ปอเรชั่น
วันนี้ (17 มี.ค.) นายวิมล รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 54 ที่ผ่านมา คณะทำงานพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถให้ความไว้วางใจ นายจุติ ไกรฤกษ์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้อีกต่อไป เพราะบุคคลคนนี้ไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) เพราะปล่อยให้มีการทำสัญญาเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยการนำเอาคลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรของชาติไปให้กลุ่มทรู ใช้โดยไม่ต้องมีการประมูล ส่งผลให้กลุ่มทรู ได้กำไรเกือบ 3 แสนล้านบาท ในขณะที่ กสทช.ต้องสูญเสียค่าธรรมเนียมที่ควรได้ไปถึง 6 หมื่นกว่าล้าน และที่สำคัญประชาชนต้องสูญเสียโอกาสในการใช้ 3G
นายวิมล กล่าวต่อว่า การที่ นายจุติ ปล่อยให้บริษัท ทรู ได้สัมปทานบริการโทรศัพท์ระบบ 3G ไปอย่างง่ายดาย ทำให้เกิดข้อกังขา ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ผิดหลักธรรมาภิบาล เพราะพรรคเพื่อไทยทราบมาว่าคุณพ่อของนายอภิสิทธิ์ คือ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นบอรด์ของบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ ในขณะที่คุณ วิทยา เวชชาชีวะ ซึ่งมีฐานะเป็นอาของท่านนายกฯ ก็เป็นบอร์ดบริษัทในทรู เช่นกัน ดังนั้น การได้สัมปทานของบริษัท ทรู ครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายกรัฐมนตรี มีคุณพ่อ และคุณอา นั่งเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ และได้ไปซึ่งสัมปทาน 3G แต่เพียงผู้เดียวนั้น ขัดต่อกฎหมาย หลักธรรมาภิบาล ขัดกันซึ่งผลประโยชน์ (conflict of interest) หรือไม่ และการที่กลุ่มทรู ได้ไปซึ่งสัญญา 3G นี้ เป็นเพราะกสท เกิดความเอนเอียง เนื่องจากคู่สัญญามีพ่อและอาเป็นบอร์ดอยู่ด้วยหรือไม่
วันนี้ (17 มี.ค.) นายวิมล รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการทุจริตในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 54 ที่ผ่านมา คณะทำงานพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถให้ความไว้วางใจ นายจุติ ไกรฤกษ์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ได้อีกต่อไป เพราะบุคคลคนนี้ไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) เพราะปล่อยให้มีการทำสัญญาเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยการนำเอาคลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรของชาติไปให้กลุ่มทรู ใช้โดยไม่ต้องมีการประมูล ส่งผลให้กลุ่มทรู ได้กำไรเกือบ 3 แสนล้านบาท ในขณะที่ กสทช.ต้องสูญเสียค่าธรรมเนียมที่ควรได้ไปถึง 6 หมื่นกว่าล้าน และที่สำคัญประชาชนต้องสูญเสียโอกาสในการใช้ 3G
นายวิมล กล่าวต่อว่า การที่ นายจุติ ปล่อยให้บริษัท ทรู ได้สัมปทานบริการโทรศัพท์ระบบ 3G ไปอย่างง่ายดาย ทำให้เกิดข้อกังขา ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ผิดหลักธรรมาภิบาล เพราะพรรคเพื่อไทยทราบมาว่าคุณพ่อของนายอภิสิทธิ์ คือ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นบอรด์ของบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ ในขณะที่คุณ วิทยา เวชชาชีวะ ซึ่งมีฐานะเป็นอาของท่านนายกฯ ก็เป็นบอร์ดบริษัทในทรู เช่นกัน ดังนั้น การได้สัมปทานของบริษัท ทรู ครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายกรัฐมนตรี มีคุณพ่อ และคุณอา นั่งเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ และได้ไปซึ่งสัมปทาน 3G แต่เพียงผู้เดียวนั้น ขัดต่อกฎหมาย หลักธรรมาภิบาล ขัดกันซึ่งผลประโยชน์ (conflict of interest) หรือไม่ และการที่กลุ่มทรู ได้ไปซึ่งสัญญา 3G นี้ เป็นเพราะกสท เกิดความเอนเอียง เนื่องจากคู่สัญญามีพ่อและอาเป็นบอร์ดอยู่ด้วยหรือไม่