“สนธิ” แฉแผนบริษัทน้ำมันฝรั่งฮุบแหล่งพลังงานอ่าวไทย วางตัวคนใน กต.ทำเอ็มโอยู 43 แบ่งดินแดนทางบกให้ฮุนเซนแลกพื้นที่ทางทะเล ระบุ “ชวน” เซ็นเพื่อปัดสวะ ขณะ “อภิสิทธิ์” เข้ามาสานต่อ กอดเอ็มโอยู 43 เป็นตัวแทนรอมอบของให้ฝรั่ง เย้ยผลงานเดียวของ “มาร์ค” มีแค่ผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาฯ ทำลายคุณภาพเด็กไทย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เมื่อเวลาประมาณ 20.50 น.วันนี้ (16 มี.ค.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีปราศรัยที่สะพานมัฆวานฯ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า เรื่องของอ่าวไทยกับผลประโยชน์น้ำมัน ตนได้พูดครั้งแรกเมื่อปลายปี 2548 จริงๆ แล้ว อ่าวไทยคือขุมก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน ที่กำลังจะแย่งชิงกันระหว่างไทยกับเขมร คำถามมีอยู่ตลอดเวลา 2 คำถาม และตอบไม่ได้ คือ ทำไมกระทรวงการต่างประเทศจึงทำเอ็มโอยู 43 ขึ้นมาอย่างบัดซบ บัดสีบัดเถลิง โดยไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว อีกคำถาม คือ ทำไมนายกฯ ชวน สมัยนั้นถึงหลับหูหลับตาเซ็นไป ทีแรกก็นึกว่าเพราะไม่รู้ แต่คิดดูแล้วนายชวนเป็นทนายความ มีฉายาว่าแหตาถี่ ละเอียดถี่ยิบ แต่ทำไมต้องเซ็น
นายสนธิกล่าวอีกว่า พอเซ็นไปเรียบร้อยแล้ว มาถึงสมัยนายทักษิณ, สมัคร, สมชาย และอภิสิทธิ์ นายอภิสิทธิ์เป็นคนฉลาดในเรื่องความคิด แต่โง่ในเรื่องจริยธรรม อภิสิทธิ์ไม่รู้หรือว่าเพียงแค่เลิกเอ็มโอยู 43 เรื่องที่คาค้างอยู่ก็จบหมด มิหนำซ้ำตอนเป็นหัวหน้าฝ่ายค้านก็อภิปรายฯ เรื่องนี้โดยกล่าวหารัฐบาลสมัคร สมชาย อย่างเสียผู้เสียคน แล้วทำไมต้องกำและกอดเอาไว้เสมอประหนึ่งว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมีประจำเดือนต้องกอดผ้าอนามัยไว้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ เราก็เห็นว่าทำไมนโยบายการทูตผิดแล้วผิดอีก แทบจะไม่น่าเชื่อว่าคนในกระทรวงการต่างประเทศถึงโง่แล้วโง่อีก ไมน่าเชื่อว่านายกษิตถึงโง่บัดซบได้ขนาดนั้น เกมที่เขมรเดินนายอภิสิทธิ์จะไม่เข้าใจเลยหรือไร ตนก็เอาคำถามนั้นมาคิด และอ่านเรื่องเก่าๆ ก็อ่านถึงนโยบายพลังงานอเมริกา นโยบายความมั่นคงสหรัฐอเมริกา โดยซีไอเอเป็นคนเขียนนโยบายนี้ พออ่านไปอ่านมาเข้าเว็บไซต์บริษัทน้ำมันของอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เข้าไปดูของเชลล์ บีพี เชฟรอน ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือภูมิภาคใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน บริษัทพวกนี้จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทุกบริษัท
บริษัท ยูโนแคล เข้าไปอยู่ในอัฟกานิสถาน ตั้งแต่ก่อนที่ก่อนรัสเซียจะเข้าไปบุกยึดเสียอีก แล้วในที่สุดอเมริกาก็เอาเงินหนุนหลังตอลิบาน ส่งอาวุธให้สู้กับรัสเซีย แล้วค่อยเข้ายึดอัฟกานิสถาน แล้วยูโนแคลที่เคยเข้าไปก่อนหน้านั้นก็กลับเข้าไปอีกทีนึง ก็เลยถึงบางอ้อว่านโยบายพลังงานของต่างชาติ มันวางแผนกันเป็นสิบๆ ปี
นายสนธิกล่าวอีกว่า เมื่อดูต่อไปก็ถึงบางอ้อ เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่ชอบใช้นโยบายความมั่นคงของตัวเอง ไปบีบประเทศอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองที่ต้องการ จำได้หรือไม่ในปี 2540 ที่ไทยล่มสลายทางเศรษฐกิจ มีความคิดของประเทศที่เริ่มล่มสลายทางการเงิน คิดว่าน่าจะออกเอเชียบอนด์ อเมริกาก็ออกมาตวาดไม่ให้ออก ปรากฏว่าความคิดที่คุยกันก็ล่มสลายไป
ตนก็เลยบรรลุธรรมทันทีจากการโยงประวัติศาสตร์มายังปัจจุบัน บริษัทน้ำมันอเมริกาวางแผนการแสวงหาก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ระยะยาว สมมติว่ามาเห็นประเทศหนึ่งมีวัตถุดิบที่ต้องการ แต่สิ่งแวดล้อมยังไม่พร้อมให้เข้ามา อเมริกาก็ยังไม่เข้า ก็จะรอ 2 วิธี คือ รอให้ประเทศนั้นมีการเปลี่ยนแปลง หรือว่าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศนั้น เหมือนที่อิหร่าน สมัยหนึ่งมูซาเดกขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็ทำการยึดบริษัทน้ำมันของฝรั่งหมดเลย อเมริกาไม่พอใจก็เอาเงินไปติดสินบนทหาร เพื่อปฏิวัติเอา พระเจ้าชาห์ ปาเลวี ขึ้นมาปกครองประเทศแทน แล้วก็ฆ่ามูซาเด็ก พอเจ้าชายชาห์ ปาเลวี ขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำทันทีคือเซ็นสัญญาเปิดให้บริษัทน้ำมันที่ถูกปิดไปนั้นกลับเข้ามา ทำมาหากินในอิหร่านทันที
“ทีนี้ดูที่กัมพูชากับไทย เทคโนโลยีการแสวงหาน้ำมันไม่ใช่วิธีที่โบราณอีกต่อไป เพียงแค่ใช้เทคโนโลยีทางดาวเทียมก็รู้ได้ทันทีว่าพื้นที่นี้มีน้ำมันถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ข้อมูลตรงนี้บริษัทน้ำมันทุกบริษัทที่ใหญ่ๆ ของฝรั่งมีหมด เมื่อไม่ใช่ความลับอีกต่อไปบริษัทน้ำมันถึงรู้ว่าอ่าวไทยคือขุมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ มีมูลค่า 5-6 ล้านล้านบาท บทพิสูจน์ที่ทำให้ทราบว่าทุกบริษัทรู้ก็ คือสมัยนายทักษิณ อดีตเจ้าของแฮร์รอดส์ นายโมฮัมหมัด อัลฟาเยด บินมาหาทักษิณพร้อมกับผลสำรวจที่มาจากดาวเทียม โดยบอกว่ามีน้ำมันอยู่จะขอมาขุดเจาะ แต่ยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนเลยถอยออกไปก่อน แต่บริษัทน้ำมันรู้ก่อนนายอัลฟาเยดมาเป็นสิบๆ ปี ด้วยเหตุนี้มันเลยกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการช่วงชิงน้ำมันในพื้นที่อ่าวไทย เพราะการขุดเจาะน้ำมันของอเมริกามันขุดเจาะทุกที่แล้ว เหลือแต่อ่าวไทยที่ยังไม่มีใครเข้ามาขุดเจาะอย่างจริงจัง”
ด้วยเหตุนี้ฝรั่งก็เลยร่างแผนงานขึ้นมา มีบริษัทคอยวางแผนที่จะบุกเข้าไปเอาพลังงานในประเทศต่างๆ และออกแบบในการทำงาน เมื่อมองแล้วอ่าวไทยเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับเขมร และฮุนเซน เป็นเผด็จการ จึงคุยกับบริษัทน้ำมันรู้เรื่อง ฮุนเซนเลยบอกว่าขอเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับความร่วมมือ บริษัทต่างชาติพวกนี้ก็มีนักประวัติศาสตร์ ก็เลยรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ยึดถือแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ให้ได้ มันถึงจะสามารถทำให้เจ้าหน้าที่ทางไทยทั้งกระทรวงต่างประเทศ หรือแม้แต่นายกฯ ต้องเห็นด้วยกับการยึดพื้นที่ 1 ต่อ 200,000
นายสนธิกล่าวว่า เพราะฉะนั้นเมื่อบริษทน้ำมันโดยเฉพาะอเมริการู้อยู่แล้วว่าต้องใช้วิธีนี้ แผนการก็คือการสร้างขุมพลังงานพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ในอเมริกานั้นอะไรก็ตามที่ทำเพื่อทำความมั่นคงจะยอมทำหมด เรื่องนี้ก็เลยถูกส่งเป็นขั้นตอนไปยังกระทรวงต่างประเทศ และรัฐบาลอเมริกา และเดินตามแผนนี้ แผนนี้จะเกี่ยวข้องกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย เพราะ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อย่างที่ตนเคยกล่าวไว้ว่าถ้าเอาตรงตากใบลากออกไปในทะเลจะเจอแหล่งน้ำมัน ฉะนั้นถ้า 3 จังหวัดชายแดนแยกออกจากไทยไปแหล่งพลังงานก็จะเป็นของ 3 จังหวัดชายแดนใต้นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการอเมริกา-ฮุนเซนจึงเริ่มต้น เริ่มด้วยการวางตัวเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศของไทย นี่คือคำตอบว่าทำไมเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศไทยถึงโง่บัดซบ แต่จริงๆ ไม่ได้โง่บัดซบ แต่ทำตามคำสั่งนายของมัน เพราะมีเงินก้อนมหาศาลที่คอยจ่าย นี่คือคำตอบว่าทำไมกระทรวงการต่างประเทศที่ควรจะมีบุคลากรที่มีคุณภาพ จึงร่างเอ็มโอยูได้โง่บัดซบออกมาได้ เพราะถูกวางตัวไว้เรียบร้อยแล้ว
นายสนธิยังกล่าวอีกว่า ปี 2543 ที่ร่างเอ็มโอยูขึ้นมา ช่วงนั้นไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2540 พอปี 2543 เป็นช่วงสูงสุดของการที่ไอเอ็มเอฟเข้ามา พร้อมกับเงินช่วยเหลือไทย แต่มีเงื่อนไขที่อยู่เบื้องหลังนั่นคือไทยต้องเซ็นเอ็มโอยู 43 นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่นายชวนเซ็นก็เพียงเพื่อจะปัดสวะให้พ้นตัว ไม่ได้คิดร้ายต่อบ้านเมืองแต่แค่ต้องการปัดสวะตามนิสัยประชาธิปัตย์ เมื่อเซ็นไปแล้ว ทักษิณมาต่อปี 44 ทักษิณก็เอาเอ็มโอยู 43 ไปขยายความเป็นเอ็มโอยู 44 ที่เกี่ยวกับพื้นที่ทางทะเล และร่วมเข้าหาผลประโยชน์ด้วย
สิ่งที่ฝรั่งต้องการคือ ให้เซ็นเอ็มโอยู 2543 เพื่อให้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อที่จะให้เขมรได้พื้นที่ 1.8 ล้านไร่ และส่งผลต่อเขตแดนทางทะเลให้เขมรได้พื้นที่ในอ่าวไทยมากขึ้น นั่นคือโดยพฤตินัย ส่วนโดยนิตินัยทำโดยไม่ให้ใครด่าได้และให้ไทยยอมรับคือการตั้งเจบีซี โดยเอากรอบเจบีซีมาทำให้พฤตินัยเป็นนิตินัย เห็นหรือไม่เจบีซียังไม่เสร็จ ยังเจรจาอยู่ เขมรก็เข้ายึดโน่นยึดนี่แล้ว นั่นคือพฤตินัย
“มาถึงอภิสิทธิ์ ที่เคยมีจุดยืนไม่เห็นด้วยกับกัมพูชา ทำไมถึงเปลี่ยนความคิด เพราะโดยพื้นฐานนายอภิสิทธิ์เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าปะทะกับอเมริกัน เพราะโดยสันดานแล้วโตมาในโลกตะวันตก เป็นสุนัขรับใช้ฝรั่งมาตั้งแต่เด็ก จำได้หรือไม่อเมริกันสมัยประธานาธิบดีบุช เคยพูดว่าใครไม่เห็นด้วยกับเขาคือศัตรู เลยเอาไอเอ็มเอฟมาบีบนายชวน และใช้ความเป็นนักเลงมาขู่นายอภิสิทธิ์” นายสนธิกล่าว
นายสนธิกล่าวต่อว่า ด้วยฝีมืออเมริกันที่ทำกับอัฟกานิสถาน และอิรัก ทำให้นายอภิสิทธิ์กลัว และยอมเป็นเด็กดีของสหรัฐฯ จะเห็นว่าในช่วงที่คนเสื้อแดงชุมนุมนั้น จู่ๆ รัฐสภาอเมริกันก็มีมติสนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้กับประเทศไหนมาก่อน แสดงว่าอเมริกาเห็นว่านายอภิสิทธิ์เป็นเด็กดีให้เขา เขาจึงต้องช่วย เพราะฉะนั้นนายอภิสิทธิ์คือตัวแทนของอเมริกาที่มีกำหนดมอบของให้บริษัทฝรั่ง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นายอภิสิทธิ์โทรศัพท์ไปบอกนายสุวิทย์ คุณกิตติ ให้เซ็นยอมรับข้อตกลงประนีประนอมกับกัมพูชาเรื่องจดทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพื่อให้การใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เกิดขึ้นจริง ถึงได้มีการแกล้งโง่มาตลอด ด้วยตรรกะนี้ เอ็มโอยู 2543 จึงเลิกไม่ได้ เพราะมันคือสายพานส่งของที่นายอภิสิทธิ์จะเอาของไปวางไว้ให้ฝรั่ง สังเกตหรือไม่ นายฮุนเซนไม่พูดเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลเลย พูดถึงแต่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ภูมะเขือ และแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพราะเขาจะเอาแค่พื้นที่ทางบก ส่วนทางทะเลให้นักการเมืองไทยเอาไปทำมาหากินกันเอง
นายสนธิยังได้กล่าวถึงคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยที่ตกต่ำลงว่า ปัจจุบันนี้เด็กที่จบใหม่คุณภาพต่ำมาก คนที่เป็นหมอจบใหม่ก็มักจะวินิจฉัยโรคผิด เด็กที่เรียนวิศวะ สอบตกวิชาฟิสิกส์มากกว่าครึ่ง ทั้งที่คนเรียนวิศวะจะต้องเก่งฟิสิกส์ นั่นเป็นเพราะการศึกษาพื้นฐานของเราต่ำ จากการมีระบบแอดมิชชัน ที่คิดขึ้นตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งนายอภิสิทธิ์บอกว่าเขาภูมิใจที่มีส่วนในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้เมื่อครั้งที่เขาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงเห็นได้ชัดว่า ที่การศึกษาของประเทศล้มเหลว คุณภาพของเด็กรุ่นหลังที่ตกต่ำ เป็นผลงานของนายอภิสิทธิ์ที่มาเห็นผลใน 10 ปีให้หลัง และยังเห็นได้ชัดว่านายอภิสิทธิ์ไม่เคยมีผลงานอะไรเลยนอกจากการผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษา ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบการศึกษาไทย