บุตรสาว “ชาย อำมหิต” โวย ป.ป.ช.สั่งฟันฐานจงใจปกปิดบัญชี แถมตัดสิทธิอนาคตการเมือง 5 ปี อ้างถูกกลั่นแกล้งและพร้อมต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เตรียมคัดค้านคุณสมบัติการทำหน้าที่ แนะให้ไปตรวจสอบรัฐบาลที่ส่อทุจริตคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร
วันนี้ (24 ก.พ.) ที่รัฐสภา น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน หลังเข้าชี้แจงต่อ คตส.ว่า เงินจำนวน 100 ล้านบาทที่กู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เพื่อทำธุรกิจ จากตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินไม่พบรายการแสดงหนี้สิน ถึงแม้จะยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์เพิ่มเติม โดยอ้างเหตุว่าเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ถือว่าฟังไม่ขึ้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่าตนจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิด จึงให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัยนั้น ตนจะดำเนินการต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม มากกว่าการรับมติของ ป.ป.ช.เพราะในขณะนี้กระบวนการต่างๆ ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งหากมีการขึ้นศาลตนก็จะขออุทธรณ์เพื่อต่อสู้ และจะคัดค้านคุณสมบัติของคณะทำงาน ป.ป.ช.ชุดนี้ด้วย
น.ส.ชินณิชากล่าวต่อว่า ตนถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เห็นได้จากเรื่องดังกล่าวกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 แต่กลับมาถูกพิจารณาในช่วงเวลาที่ใกล้กับการเลือกตั้ง ส่วนตัวตนก็ไม่ได้แปลกใจต่อผลการตัดสินครั้งนี้ เพราะไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องใดให้ ป.ป.ช.พิจารณาจะได้รับแต่ความเพิกเฉย ทั้งนี้ ไม่ว่าตนและพรรคเพื่อไทยจะถูกบีบอย่างไรก็ตามก็จะสู้ต่อไป เพื่อล้มล้างระบบสองมาตรฐาน
น.ส.ชินณิชายังกล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเรื่องของตนนั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากๆ และก็ยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิด เพราะในขณะนั้นเงินจำนวนดังกล่าวถูกตัดสินอายัดเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ตนไม่ได้ชี้แจงบัญชีในตอนนั้น โดยภายหลังจากนั้นก็ชี้แจงจำนวนเงินดังกล่าวมาโดยตลอด ทั้งนี้ เห็นว่า ป.ป.ช.น่าจะเอาเวลาไปตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้มากกว่า เพราะถือว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศมากกว่าคนคนเดียว นอกจากนี้ น.ส.ชินณิชายังเปิดเผยว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้มากนัก เพียงแค่แนะนำให้มีการพูดคุยกับทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยมากกว่า
