แกนนำพันธมิตรฯ ยกคำพูด “ศรีศักร” ซัดรัฐทำพลาดปัญหาไทย-เขมร ยันพร้อมไปรายงานตัวพรุ่งนี้ พี่น้องไม่ต้องตามมา ซัด “เทือก” สร้างเรื่องสลายม็อบ - “ประพันธ์” ไม่เชื่อรัฐบาลไม่รู้เห็น “ดาว์พงษ์” คุยเขมรหยุดยิง จี้รัฐแจง ซัดชอบเอาดีใส่ตัว เชื่อ ประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ปาล์ม โยนบาป “เจ๊วา” เป็นแพะ
วันนี้ (21 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงความคิดเห็นของ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ในกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เป็นการสมยอมกันระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรกัมพูชาว่า รศ.ศรีศักร ซึ่งไม่ได้มาเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ แต่ได้เกาะติดปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา มาโดยตลอด ซึ่ง รศ.ศรีศักร ได้วิเคราะห์ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความสมยอมกันระหว่าง นายอภิสิทธิ์ และนายฮุนเซน โดยเฉพาะรัฐบาลไทยที่ทำผิดพลาดมาโดยตลอด แสดงว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ เรียกร้องนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดขึ้นมาเอง แต่อาศัยหลักฐานเอกสารต่างๆ รวมทั้งความเห็นของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญ จึงสรุปได้ว่าเป็นความผิดของรัฐบาลไทยจริงๆ
ส่วนเรื่องการายงานตัวตามหมายเรียกของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) นั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตามที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าพันธมิตรฯ จะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมในทุกขั้นตอน จึงจะไปรายงานตัวและไปเสนอว่าสิ่งที่ตำรวจนั้นผิดขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งตนได้ขอร้องไม่ให้ผู้ชุมนุมติดตามไป เพราะจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนั้น ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพิ่มเติมนั้น ยังยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อการชุมนุมของพวกเราเลย
ผู้สื่อข่าวถามถึงการที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าอยากให้พันธมิตรฯ ทบทวนแนวทางการชุมนุม เนื่องจากอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม พล.ต.จำลองกล่าวว่า เป็นเพียงเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามสร้างขึ้นมาเองเท่านั้น รวมถึงการใช้วิชามารที่ต้องการสลายการชุมนุมของพวกเรา
ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก เจรจาลงนามข้อตกลงหยุดยิง 8 ข้อ กับฝ่ายกัมพูชาว่า รัฐบาลยังปกปิดข้อเท็จจริงต่อประชาชนจากท่าทีของนายอภิสิทธิ์ แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ คงไม่ได้ไปเจรจาโดยลำพัง หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายนโยบาย หรือรัฐบาล ซึ่ง นายกฯ อภิสิทธิ์ยอมรับว่า ได้รับทราบรายงานการเจรจาและให้ความเห็นชอบ ซึ่งในทางปฏิบัติ พล.อ.ดาว์พงษ์จะต้องรายงานเรื่องนี้ต่อ รมว.กลาโหม เพื่อรายงานต่อไปยังนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายทหารจะไปเจรจาโดยลำพัง ซึ่งในรายงานที่ฝ่ายทหารทำขึ้นจะปรากฎข้อเท็จจริงที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีการลงนามใน 8 ข้อแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งจะมีผลผูกพันต่อการไปประชุมของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในเวทีรัฐมนตรีอาเซียน วันที่ 22 ก.พ. เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาก็จะได้รับรายงานจากฝ่ายทหารเช่นกัน จึงเชื่อว่าจะมีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยบนโต๊ะอาเซียนซึ่งจะมีผลกระทบต่อดินแดนไทย
“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณชน อย่าปกปิดข้อเท็จจริงที่กระทบต่อดินแดนอธิปไตยของประเทศ ซึ่งจุดยืนของนายกษิต ที่ว่าฝ่ายทหารต้องรายงานมาก่อนนั้น อาจเป็นเพียงพูดเพื่อมารยาททางการทูต แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนจุดยืนว่ามีการรายงานมาและฝ่ายนโยบายเห็นชอบแล้ว ซึ่งทำให้มีผลผูกพันธ์ต่อดินแดนไทย” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้แก้ปัญหาแบบเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นเสมอ ท้งในปัญหาชายแดน ที่เห็นชัดว่าการเจรจาหยุดยิง 8 ข้อนั้นล้มเหลว รัฐบาลก็พยายามโยนความผิดให้กับฝ่ายทหาร หรือกรณีการช่วยเหลือ 7 คนไทย ก็ไม่พยายามช่วยเหลือ แล้วโยนความผิดให้กับผู้ชุมนุม ซึ่งในการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มในขณะนี้ก็เป็นลักษณะเดียวกัน ที่พยายามโยนความผิดให้กับกระทรวงพาณิชย์ และนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ มีปัญหาเรื่องการนำเข้าน้ำมันปาล์ม ทั้งที่การภาวะการขาดแคลนนั้นเริ่มปรากฏมาตั้งเดือน ก.ค.53 ภายหลังทราบความเสียหายของต้นปาล์มจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งส่งผลต่อกำลังผลิตในประเทศ และน้ำมันปาล์มที่สำรองอยู่ไม่เพียงพอ รัฐบาลโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์ม ทราบดี แต่เมื่อผู้ขายเสนอให้มีการนำเข้าชดเชยส่วนที่ขาด กลับไม่อนุมัติ จึงเกิดการทะลักเข้ามาของน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นความจงใจของขบวนการพวกตัวเอง ซึ่งรู้เรื่องดีและมีธุรกิจประเภทนี้อยู่ ที่มีพฤติกรรมกักตุนและเก็งกำไร หาประโยชน์ให้หัวคะแนนผู้ปลูกปาล์ม ซึ่งผู้ปลูกปาล์มรายย่อยก็ได้ประโยชน์ แต่รายใหญ่ที่เป็นนายทุนของพรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์มากกว่า หรือแม้แต่ นายสุเทพ เองก็มีธุรกิจปลูกปาล์มด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ นายประพันธ์เปิดเผยว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน แต่จะไปให้กำลังใจกับผู้ที่ถูกหมายเรียกที่ บช.น.ด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวหาว่าหลบเลี่ยงไม่ไปพบเจ้าพนักงาน อย่างไรก็ตาม การที่ทนายความพันธมิตรฯจะไปยื่นหนังสือต่อ ผบ.ตร.ในวันนี้ (21 ก.พ.) นั้นเป็นการใช้สิทธิโต้แย้งการอำนาจไม่ชอบของพนักงานสอบสวน โดยจะทำให้เรามีสิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมต่อไป