“โฆษก ปชป.” เผยทีม ศก.พรรค ประเมินคำสรุปอภิปรายงบกลางปี ของ “เจ๊มิ่ง” บิดเบือนตัวเลขการกู้เงินสมัยทักษิณกลางสภา เป็นเท็จ 5 เรื่อง อัดวุฒิภาวะไม่เพียงพอที่จะเสนอตัวชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ อ้างสถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พี จัดอันดับความน่าเชื่อสถานะทางการคลังสูงกว่า
วันนี้ (18 ก.พ.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ประเมินการพิจารณาร่างงบประมาณกลางประจำปี 2554 ว่า พรรคได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจติดตาม และสรุปว่าคำอภิปรายของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่แม้จะใช้ลีลาท่าทางเสมือนนักวิชาการ แต่ข้อเท็จจริง พบว่า มีเนื้อหาสาระที่บิดเบือนตัวเลข 5 เรื่อง คือ 1.บิดเบือนตัวเลขการกู้เงินในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่นำมาใช้เปรียบเทียบรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะการปกปิดตัวเลขการออกพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 7 แสนล้าน ในปี 2545 และการกู้เงินจริงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2551 ทำให้ตัวเลขที่ นายมิ่งขวัญ เสนอเป็นตัวเลขเท็จ ทำให้ยอดหนี้เงินกู้ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ลดลงถึง 7 แสนล้าน เพื่อสร้างความเข้าใจผิด ว่า มีการกู้เงินน้อยกว่าที่ตัวเลขปรากฏ ทำให้มีความรู้สึกว่าการกู้เงินในรัฐบาลทักษิณ ส่วนต่างที่สูงกว่า 2.จงใจบิดเบือนเอาตัวเลขเงินกู้ที่เกิดขึ้นจากการออก พ.ร.บ.งบประมาณ 2552 เข้ามาบวกเป็นปริมาณเงินกู้ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยมูลหนี้ 3 แสนล้านบาท เกิดขึ้นจาก พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2552 ขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เข้ามาในปลายปี 2551 หลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2552 ออกโดยพรรคเพื่อไทยได้ผ่านความเห็นชอบในสภาในสมัยนั้นมาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการเอาหนี้ของรัฐบาลก่อนมาบวกเป็นหนี้ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นตัวเลขที่ไม่จริง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า 3.มีการบิดเบือนว่าหนี้สาธารณะขณะนี้สูงขึ้นจากการกู้เงิน และสูงสุดในประวัติการณ์ จึงเห็นได้ว่า เป็นการบิดเบือนตัวเลข เพราะหนี้สาธารณะขณะนี้มีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 41.6% ของรายได้ หรือผลผลิตมวลรวมประชาชาติ ซึ่งเป็นตัวเลขมาตรฐานที่ใช้ในการคำนวนสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี และจะเห็นว่า ปีนี้มีแนวโน้มลดลงกว่า 50% ลงมาอยู่ที่ 41.6% และเป็นสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่ต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน 4.การออกมาบิดเบือนเรื่องภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลอภิสิทธิ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และประชาชนต้องแบกรับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยแม้จะทยอยสูงขึ้นแต่จำนวนดอกเบี้ย ทั้งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ ฉะนั้น ถือว่าไม่เป็นความจริง และ 5.การบิดเบือนเรื่องการออกงบกลางว่าเป็นการทำลายการเงินการคลัง และเพิ่มหนี้สาธารณะของภาครัฐ ขอยืนยันว่า ไม่จริง เพราะการผ่าน พ.ร.บ.งบกลางปี ทำให้เงินคงคลังลดลงถึง 84,000 ล้านบาท และเงินจำนวนนี้รัฐบาลกู้ยืมเงิน และจากรายได้ที่ถูกจัดเก็บเพิ่มขึ้นเป็นการลดหนี้ของภาครัฐลง 84,000 ล้านบาท และลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยหากไม่มีการออกงบกลางพันกว่าล้านบาท แต่ที่น่าผิดหวัง คือ นายมิ่งขวัญ ไม่ได้ออกเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหากใช้วิธีบิดเบือนตัวเลขและปกปิดข้อมูล
“ขอถามหาจรรยาบรรณของนักวิชาการ ที่มาจากภาคเอกชน และเสนอตัวเข้ามาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า การดำเนินการที่เหมาะสม และแสดงถึงวุฒิภาวะที่เพียงพอหรือไม่ ที่จะเสนอตัวมาเป็นผู้นำของประเทศ ดังนั้น เชื่อว่า ประชาชนสามารถมีตัวเปรียบเทียบ เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า สมควรที่จะเลือกใครเป็นผู้นำประเทศระหว่างนายอภิสิทธิ์ และนายมิ่งขวัญ ที่สำคัญ สถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พี มูดี้ส์ และ ฟิทช์ ได้จัดอับดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยการคลังของรัฐบาลไทยน่าเชื่อถือกว่ารัฐบาลยุคทักษิณ”