ครม.เห็นชอบแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ปี 55-59 เตรียมเป็น 1 ใน 5 ท่องเที่ยวในเอเชีย “มาร์ค” โวกลางที่ประชุม ครม.เกษตรกรรายได้เพิ่ม ประชาชนกลับทำเกษตรกรรมมากขึ้น เป็นผลจากนโยบายรัฐประกันรายได้
วันนี้ (15 ก.พ.) นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.เห็นชอบแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 5 อันดับของทวีปเอเชีย รวมทั้งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยมียุทธศาสตร์ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัด ระบบโลจิสติกส์ ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวไทย 2.การพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว การกำหนดมาตรการในการแก้ไขกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ ให้แหล่งท่องเที่ยวของไทยสามารถมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว
นายวัชระ กล่าวว่า 3.การพัฒนาสินค้าบริการ และปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พัฒนามาตรฐานของสินค้าบริการ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว 4.สร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวมุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวรับรู้ และเข้าใจในภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวในการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย โดยดำเนินการตลาดเชิงรุก ดึงงาน และจัดงานแสดงต่างๆ โดยมุ่งเน้นนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และ 5.ส่งเสริมกระบวนการร่วมของภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรปกครองท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว พัฒนาการท่องเที่ยวให้ครบวงจร
นายวัชระ กล่าวถึงที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอต่อที่ประชุมในเรื่องการดำเนินการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2553/2554 รอบที่ 2 สาระสำคัญ คือ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบของกระทรวงการเกษตรฯ โดยเห็นชอบในกรอบการดำเนินงาน ซึ่งจะมีการกำหนดกรอบ เรื่องการปลูก การเก็บเกี่ยว การขึ้นทะเบียน ทำสัญญาประชาคม การออกใบรับรอง การใช้สิทธิ์ของเกษตรกร
นอกจากนี้ ชนิดข้าวที่เข้าร่วมโครงการยังคงเดิม คือ มี 3 ชนิด คือ 1.ข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 2.ข้าวเปลือกจ้าว และ 3.ข้าวเปลือกเหนียว พันธุ์ข้าวที่ยกเว้น 18 พันธุ์ เป็นพันธุ์ที่มีอายุสั้น 100 วัน ส่วนที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์คือข้าวเปลือกหอมมะลิ พันธุ์ข้าวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข.15 ราคาประกันรายได้ยังคงเดิม ข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานียังอยู่ที่ตันละ 11,000 บาท ข้าวเปลือกจ้าวตันละ 10,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวอยู่ที่ตันละ 9500 บาท
นายวัชระ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ตั้งข้อสังเกต 2 ประเด็น คือ 1.นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าได้รับทราบรายงานว่ามีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงแรงงานภาคเกษตร ซึ่งมีการไหลกลับไปสู่การทำงานภาคเกษตรมากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากการราคาพืชผลทางเกษตรมีราคาที่สูงขึ้น อีกส่วนหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตคืออยากทราบตัวเลขเงินฝากและเงินออมของภาคเกษตรกรรม ว่า มีเพิ่มขึ้นมากน้อยหรือไม่อย่างไร เนื่องจากราคาพืชผลเกษตรเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะยางพารา จึงมอบหมายให้สภาพัฒน์ไปศึกษาข้อมูลและรายงานข้อเท็จจริงให้ทราบ ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ดี และต้องบอกว่าเป็นผลในการดำเนินนโยบายที่ถูกต้องในการประกันรายได้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรโดยรวมมีรายได้สูงขึ้น สะท้อนจากการเข้าสู่แรงงานภาคเกษตรมากขึ้น และภาวะเงินออมภาคเกษตรน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น