xs
xsm
sm
md
lg

แก้ รธน.อีกบทพิสูจน์ “หน้าหล่อ” ทำเพื่อส่วนตัวไม่ใช่เพื่อชาติ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในที่สุดเมื่อวานนี้( 11 ก.พ.) ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองประเด็นนั่นคือ มาตรา 190 ที่แยกประเภทเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศประเภทใดบ้างจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน และประเด็นที่เกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งและสัดส่วน ส.ส.ที่เสนอให้แก้ไขในมาตรา 93-98 ก็ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาในวาระที่ 3 ไปได้ตามความคาดหมาย

หากแยกเป็นประเด็นก็จะเห็นคะแนนดังนี้ แก้ไขมาตรา 190 ผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนน 397 ต่อ 19 เสียง ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับแบ่งเขตเลือกตั้งและจำนวนที่มา ส.ส.แก้ไขมาตรา 93-98 ผ่านไปด้วย 347 ต่อ 37 คะแนน

นั่นหมายความว่าเมื่อผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาดังกล่าวแล้ว นับจากนี้ไปก็เริ่มเขาสู่โหมดการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ที่นักการเมืองพวกนี้กำหนดขึ้นกันเอง โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็น “ธาตุแท้” ของนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เห็นได้ชัดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ว่าเขาทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว รวมไปถึงนักการเมืองในกลุ่มเดียวกันล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของชาติและประชาชนเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเป็นผลประโยชน์ของนักการเมือง “ขี้ฉ้อ” ที่เข้ามาแสวงหาอำนาจและความร่ำรวยผ่านทางการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่า “สะอิดสะเอียน” อย่างที่สุด

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าคนอย่าง อภิสิทธิ์ กับ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่ได้สร้างความหวังในทางการเมืองได้เลย ตรงกันข้ามยังน่ากลัวกว่า เพราะสามารถสร้าง “ภาพอำพราง”ได้แนบเนียนกว่า ทั้งในลักษณะคำพูด ท่าทางรวมไปถึงรูปลักษณ์ภายนอก แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในแทบทุกเรื่องก็ถือว่าไม่แตกต่างกัน

หากแยกพิจารณาในเรื่องสำคัญเริ่มจากการทุจริตคอรัปชั่น พิสูจน์ได้จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการของตรวจสอบการป้องกันทุจริตวุฒิสภาที่ระบุตัวเลขออกมาว่ามีไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท รวมทั้งผลสำรวจของหอการค้าไทย ที่มีต่อนักธุรกิจที่ต่างล้วนระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีการเรียกรับเงินใต้โต๊ะจำนวนมาก มากกว่าในรัฐบาลยุคก่อนเสียอีก

ประกอบกับเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาจากข่าวที่ปรากฏทางสื่อในรอบสองปีที่ผ่านมาก็พบว่ามีแต่เรื่องอื้อฉาวมีข่าววิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง โดยเฉพาะที่กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงคมนาคม เป็นต้น

เมื่อวกกลับมาที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ลงมาผลักดันด้วยตัวเอง มันก็ได้ “เปลือย” ตัวตนออกมาให้เห็นอีกครั้ง เริ่มจากการ “โกหก” หลอกต้มชาวบ้านไปวันๆ เช่นในตอนแรกยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือหากจะแก้ไขก็ต้องผ่านการทำประชามติเพื่อรับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบรับรองจากประชาชนมากว่า 14 ล้านเสียง เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วสวยหรู

แต่ในที่สุดเขาก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม รวบรัดผลักดันในช่วงวันท้ายๆก่อนปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติครั้งที่แล้วเพียงไม่กี่วัน เพียงเพื่อให้ทันการเลือกตั้งในสมัยถัดไป เพื่อให้พวกเขาได้กลับมามีอำนาจกอบโกยกันอีกรอบเท่านั้น

เมื่อพิจารณาสำรวจทีละประเด็นก็จะเห็นถึงความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองประเภทนี้ได้ชัดเจนขึ้น เริ่มตั้งแต่มาตรา 190 ที่เกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้นในตอนแรกก็มีการ “หมกเม็ด” ในเรื่องที่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับอธิปไตยของชาติกรณีหนังสือบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาที่เกี่ยวกับเขตแดน(เจบีซี) ที่ตัดข้อความจนทำให้ตีความได้ว่าให้ฝ่ายรัฐบาลดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านสภา แต่เมื่อมีการ “จับโกหก” กลางสภาทำให้นายกรัฐมนตรีต้องออกมารับปากว่าจะมีการแก้ไขกลับไปเหมือนเดิม โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น

ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวกับแบ่งเขตเลือกตั้งจากเขตใหญ่เป็นเขตเล็กนั้นนอกจากแก้ไขตามความต้องการของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันแล้ว ยังเป็นความปราถนาของตัวเองที่ซุกซ่อนเอาไว้ เพราะหากเป็นเขตเล็กลงนอกจากทำให้ “ซื้อเสียง” ได้ง่ายแล้วยังสามารถ “เจาะ” พื้นที่ของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือและภาคอีสานได้อีกด้วย นอกจากนี้นายกฯ อภิสิทธิ์ ยังเสนอสัดส่วน ส.ส.สูตร 375-125 นั่นคือ ลดจำนวน ส.ส.เขตลงมาเหลือ 375 คน ขณะเดียวกันไปเพิ่ม ส.ส.สัดส่วนเป็น 125 ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ เพราะเมื่อดูจากสถิติย้อนหลังจะพบว่าเสียงในระบบสัดส่วนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แพ้พรรคไทยรักไทย หรือไทยรักไทยเลย ขณะเดียวกันเมื่อใช้สูตรนี้ก็ต้องไปลด ส.ส.เขตในภาคเหนือกับภาคอีสานลงมามากที่สุด

ถัดมากรณีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 9-27 กุมภาพันธ์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรซับซ้อนไปกว่าต้องการ “ปิดปาก” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ให้เปิดโปงพฤติกรรม “ปาหี่” ยอมตกเป็น “หุ่นเชิด” กับกลุ่ม “อำนาจ” บางกลุ่มในกองทัพที่มีผลประโยชน์กับรัฐบาลกัมพูชา รวมไปถึงได้ประโยชน์สองต่อนั่นคือป้องกันระวังไม่ให้ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระนักการเมืองขี้ฉ้อที่จะลงมติกันในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากหลายกรณีตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน มันก็ย่อมเห็นตัวตนที่แท้จริงของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าเป็นนักการเมืองประเภทไหน มีความแตกต่างจาก ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ และกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯถือว่าเป็นอีกบทพิสูจน์ล่าสุดว่าเขาคือ “วิญญูชนจอมปลอม” เป็นมารในร่างเทพ ที่อันตรายที่สุดนั่นเอง !!
กำลังโหลดความคิดเห็น