เห็นบทบาทของ “ต่อพงษ์ ไชยสาส์น” ออกมาพองตัวเป็นอึ่งอ่างพ่นพิษใส่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยรับลูกจาก โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายตาน้ำข้าวของ ทักษิณ ชินวัตร มาใช้กรรมาธิการการต่างประเทศตรวจสอบสัญชาติของอภิสิทธิ์ว่า ถือสัญชาติไทยหรือสัญชาติอังกฤษแล้ว อดรู้สึกสังเวชใจไม่ได้
เพราะในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต่อพงษ์ไม่เคยมีผลงานที่ทำให้คนไทยได้เห็นว่าเวทีของกรรมาธิการฯชุดนี้ถูกใช้เพื่อบ้านเพื่อเมือง ตรงกันข้าม ที่ผ่านมาต่อพงษ์เอาเสื้อคลุมกรรมาธิการการต่างประเทศมาสวมใส่ เพื่อรับใช้ทักษิณ ชินวัตร ชนิดนับครั้งไม่ถ้วน
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่คนไทยกำลังวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใยกับสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา และประเทศของเรากำลังเผชิญศึกที่ต้องปกป้องอธิปไตยไปจนถึงการต้องสัประยุทธ์เข้มข้นกับกัมพูชา เพื่อยับยั้งไม่ให้ความพยายามยกระดับปัญหาสองประเทศขึ้นสู่เวทีโลก เปิดทางให้ประเทศที่ 3 หรือสหประชาชาติเข้ามาจุ้นวุ่นวายของกัมพูชาสัมฤทธิ์ ผล
กรรมาธิการฯ ควรจะได้วางบทบาทของตัวเองในการตรวจสอบเพื่อเสนอแนะรัฐบาลในการดำเนินนโยบาย ให้เท่าทันกลเกมเขมรทั้งรุกและรับเพื่อรักษาประโยชน์ชาติบ้านเมือง แต่ “ต่อพงษ์” ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ชุดนี้กลับไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่าง ที่ควรจะเป็น
น่าสังเวชใจจริงๆ สำหรับคนเป็นพ่ออย่าง ประจวบ ไชยสาส์น ว่า จะหลงเหลือความภาคภูมิใจกับบุตรชายที่วางภารกิจเพื่อชาติไว้ข้างหลัง แต่นำวาระทักษิณมาทูนเอาไว้เหนือหัวได้หรือไม่ หรือความจริงแล้ววิธีคิดรับใช้มิได้แตกต่างกันทั้งพ่อและลูก เข้าทำนองลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
จะว่าไปแล้วหากพรรค เพื่อไทย มี ความสงสัยเกี่ยวกับสัญชาติของ อภิสิทธิ์ก็มีช่องทางที่จะดำเนินการได้ตามกฎหมายโดยไม่ควรนำเอากรรมาธิการฯ ของสภาไป เป็นเครื่องมือการเมืองโจมตีฝ่ายตรงกันข้าม เพราะวิธีการง่ายๆ ที่จะตรวจสอบเรื่องนี้คือ
ยื่นเรื่องต่อ กกต.ซึ่งมีหน้าที่ตราวจสอบคุณสมบัติ ส.ส.ว่า อภิสิทธิ์จะขาดคุณสมบัติความเป็นส.ส.และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าเขาอาจจะถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ ส.ส.รวมถึงนายกรัฐมนตรีต้องมีสัญชาติไทย
ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการพิสูจน์ความจริงอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีการเมืองมาข้องเกี่ยวก็ต้องดำเนินการตามช่องทางของกฎหมาย แต่สิ่งที่ทำอยู่มีความชัดเจนว่า รู้ทั้งรู้ว่าประเด็นเรื่องสัญชาติไม่สามารถเอาผิดอภิสิทธิ์ในทางกฎหมายได้ จึงหวังขยายผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทน
และถ้าพรรคเพื่อไทยมีความห่วงใยเกี่ยวกับการถือสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทยมากขนาดนี้ ก็ควรจะเตรียมตรวจสอบคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ด้วย หากวันหนึ่งทักษิณกลับมาครอบงำบ้านเมือง คำถามสำคัญคือ ทักษิณ จะยังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริงหรือ เพราะเขาได้กลายเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกรทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ ถือว่าเขาได้สละสัญชาติไทยไปแล้วใช่หรือไม่ เพราะการยอมรับสัญชาติมอนเตฯของทักษิณย่อมหมายถึงว่าเขาไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป เนื่องจากกฎหมายไทยไม่อนุญาตให้คนไทยถือสองสัญชาติ ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและต่อพงษ์ควรเตรียมการเผื่อไว้คือ หากทักษิณได้กลับมาต่อพงษ์ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศจะทำหน้าที่ ประสานทดแทนบุญคุณพ่อขอวีซ่าให้พ่อทักษิณได้เข้าประเทศไทยจะดีกว่าไหม และจะอธิบายอย่างไรที่เอาตัวรอดทิ้งแผ่นดินเกิดไปใช้สัญชาติอื่น แต่ยังกระสันอยากกลับมามีอำนาจในประเทศที่ตัวเองสละสัญชาติไปแล้ว
หันมาดูการเคลื่อนไหวของ “ธิดาแดง” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ “สู้เพื่อผัว” ซึ่งเตรียมชุมนุมใหญ่หน้าศาลอาญาวันที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นกันบ้างว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
จากท่าทีล่าสุดก็ยังคงมั่นไม่เปลี่ยนแปลงในการ “สู้เพื่อผัว” และพรรคพวกแต่ทอดทิ้งคนเสื้อแดง เพราะการยื่นขอประกันตัวยังจำกัดอยู่แค่เฉพาะแกนนำไม่ได้รวมถึงคนเสื้อแดงรายอื่นที่ยังอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นสู้เพื่อทักษิณทำให้แกนนำร่ำรวย ขณะที่พวกเขาต้องรับกรรมติดคุกโดยไม่มีแกนนำแดงหน้าไหนไปดูดำดูดีทั้งสิ้น
การเตรียมเคลื่อนขบวนไปประกาศศึกกับศาลโดยใช้มวลชนไปกดดันเพื่อให้ศาลต้องใช้ ดุลพินิจปล่อยตัวแกนนำแดงตามที่ตัวเองต้องการ บ่งชี้ว่าแก๊งแดงนอกรีตเหล่านี้ต้องการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายและจะเดิน หน้าท้าทายทำลายกระบวนการยุติธรรมไทยจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งยังเชื่อว่าผู้พิพากษาทุกท่านจะไม่หวั่นไหวกับแรงเสียดทานดังกล่าว
กลยุทธ์ชั้นต่ำเช่นนี้ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ฉลาดคิดได้เองหรอก เพียงแต่เดินตามรอยพ่อทักษิณที่เคยประกาศว่า “ถ้ากูไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าสังคมไทยจะอยู่อย่างมีความสุขเลย”
วันนี้แก๊งเสื้อแดงก็กำลังแสดงออกข่มขู่ศาลว่า “ถ้าผัวกูเพื่อนกูต้องอยู่ในคุก ก็อย่าหวังว่าศาลจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย”
แล้วสังคมไทยจะยอมให้แดงก่อการร้ายคุกคามศาล ซึ่งเป็น “เสาหลักของชาติ” กระนั้นหรือ?
เพราะในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต่อพงษ์ไม่เคยมีผลงานที่ทำให้คนไทยได้เห็นว่าเวทีของกรรมาธิการฯชุดนี้ถูกใช้เพื่อบ้านเพื่อเมือง ตรงกันข้าม ที่ผ่านมาต่อพงษ์เอาเสื้อคลุมกรรมาธิการการต่างประเทศมาสวมใส่ เพื่อรับใช้ทักษิณ ชินวัตร ชนิดนับครั้งไม่ถ้วน
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่คนไทยกำลังวิตกกังวลเป็นห่วงเป็นใยกับสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา และประเทศของเรากำลังเผชิญศึกที่ต้องปกป้องอธิปไตยไปจนถึงการต้องสัประยุทธ์เข้มข้นกับกัมพูชา เพื่อยับยั้งไม่ให้ความพยายามยกระดับปัญหาสองประเทศขึ้นสู่เวทีโลก เปิดทางให้ประเทศที่ 3 หรือสหประชาชาติเข้ามาจุ้นวุ่นวายของกัมพูชาสัมฤทธิ์ ผล
กรรมาธิการฯ ควรจะได้วางบทบาทของตัวเองในการตรวจสอบเพื่อเสนอแนะรัฐบาลในการดำเนินนโยบาย ให้เท่าทันกลเกมเขมรทั้งรุกและรับเพื่อรักษาประโยชน์ชาติบ้านเมือง แต่ “ต่อพงษ์” ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ชุดนี้กลับไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่าง ที่ควรจะเป็น
น่าสังเวชใจจริงๆ สำหรับคนเป็นพ่ออย่าง ประจวบ ไชยสาส์น ว่า จะหลงเหลือความภาคภูมิใจกับบุตรชายที่วางภารกิจเพื่อชาติไว้ข้างหลัง แต่นำวาระทักษิณมาทูนเอาไว้เหนือหัวได้หรือไม่ หรือความจริงแล้ววิธีคิดรับใช้มิได้แตกต่างกันทั้งพ่อและลูก เข้าทำนองลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
จะว่าไปแล้วหากพรรค เพื่อไทย มี ความสงสัยเกี่ยวกับสัญชาติของ อภิสิทธิ์ก็มีช่องทางที่จะดำเนินการได้ตามกฎหมายโดยไม่ควรนำเอากรรมาธิการฯ ของสภาไป เป็นเครื่องมือการเมืองโจมตีฝ่ายตรงกันข้าม เพราะวิธีการง่ายๆ ที่จะตรวจสอบเรื่องนี้คือ
ยื่นเรื่องต่อ กกต.ซึ่งมีหน้าที่ตราวจสอบคุณสมบัติ ส.ส.ว่า อภิสิทธิ์จะขาดคุณสมบัติความเป็นส.ส.และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าเขาอาจจะถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ ส.ส.รวมถึงนายกรัฐมนตรีต้องมีสัญชาติไทย
ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการพิสูจน์ความจริงอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีการเมืองมาข้องเกี่ยวก็ต้องดำเนินการตามช่องทางของกฎหมาย แต่สิ่งที่ทำอยู่มีความชัดเจนว่า รู้ทั้งรู้ว่าประเด็นเรื่องสัญชาติไม่สามารถเอาผิดอภิสิทธิ์ในทางกฎหมายได้ จึงหวังขยายผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทน
และถ้าพรรคเพื่อไทยมีความห่วงใยเกี่ยวกับการถือสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติไทยมากขนาดนี้ ก็ควรจะเตรียมตรวจสอบคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ด้วย หากวันหนึ่งทักษิณกลับมาครอบงำบ้านเมือง คำถามสำคัญคือ ทักษิณ จะยังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริงหรือ เพราะเขาได้กลายเป็นพลเมืองของมอนเตเนโกรทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยไปเรียบร้อยแล้ว
นี่ ถือว่าเขาได้สละสัญชาติไทยไปแล้วใช่หรือไม่ เพราะการยอมรับสัญชาติมอนเตฯของทักษิณย่อมหมายถึงว่าเขาไม่ใช่คนไทยอีกต่อไป เนื่องจากกฎหมายไทยไม่อนุญาตให้คนไทยถือสองสัญชาติ ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและต่อพงษ์ควรเตรียมการเผื่อไว้คือ หากทักษิณได้กลับมาต่อพงษ์ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศจะทำหน้าที่ ประสานทดแทนบุญคุณพ่อขอวีซ่าให้พ่อทักษิณได้เข้าประเทศไทยจะดีกว่าไหม และจะอธิบายอย่างไรที่เอาตัวรอดทิ้งแผ่นดินเกิดไปใช้สัญชาติอื่น แต่ยังกระสันอยากกลับมามีอำนาจในประเทศที่ตัวเองสละสัญชาติไปแล้ว
หันมาดูการเคลื่อนไหวของ “ธิดาแดง” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ “สู้เพื่อผัว” ซึ่งเตรียมชุมนุมใหญ่หน้าศาลอาญาวันที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นกันบ้างว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
จากท่าทีล่าสุดก็ยังคงมั่นไม่เปลี่ยนแปลงในการ “สู้เพื่อผัว” และพรรคพวกแต่ทอดทิ้งคนเสื้อแดง เพราะการยื่นขอประกันตัวยังจำกัดอยู่แค่เฉพาะแกนนำไม่ได้รวมถึงคนเสื้อแดงรายอื่นที่ยังอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นสู้เพื่อทักษิณทำให้แกนนำร่ำรวย ขณะที่พวกเขาต้องรับกรรมติดคุกโดยไม่มีแกนนำแดงหน้าไหนไปดูดำดูดีทั้งสิ้น
การเตรียมเคลื่อนขบวนไปประกาศศึกกับศาลโดยใช้มวลชนไปกดดันเพื่อให้ศาลต้องใช้ ดุลพินิจปล่อยตัวแกนนำแดงตามที่ตัวเองต้องการ บ่งชี้ว่าแก๊งแดงนอกรีตเหล่านี้ต้องการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายและจะเดิน หน้าท้าทายทำลายกระบวนการยุติธรรมไทยจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งยังเชื่อว่าผู้พิพากษาทุกท่านจะไม่หวั่นไหวกับแรงเสียดทานดังกล่าว
กลยุทธ์ชั้นต่ำเช่นนี้ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ฉลาดคิดได้เองหรอก เพียงแต่เดินตามรอยพ่อทักษิณที่เคยประกาศว่า “ถ้ากูไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าสังคมไทยจะอยู่อย่างมีความสุขเลย”
วันนี้แก๊งเสื้อแดงก็กำลังแสดงออกข่มขู่ศาลว่า “ถ้าผัวกูเพื่อนกูต้องอยู่ในคุก ก็อย่าหวังว่าศาลจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย”
แล้วสังคมไทยจะยอมให้แดงก่อการร้ายคุกคามศาล ซึ่งเป็น “เสาหลักของชาติ” กระนั้นหรือ?