ท่วงทำนองการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหลังจากที่ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” เข้ามากุมบังเหียน “รักษาการณ์ประธาน นปช.” นั้น ทำให้ยิ่งเห็นถึงความพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยแกนนำคนเสื้อแดงที่ติดคุกฐานชุมนุมก่อความไม่สงบในบ้านเมือง จนเลยเถิดไปถึงการเผาบ้านเผาเมือง นับถึงวันนี้ก็อยู่ในคุกไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมานานกว่า 8 เดือนเข้าให้แล้ว
แม้ว่าจะมีการ “ตั้งแท่น” เพื่อยื่นขอประกันตัวต่อศาลอาญาตามกระบวนการทางกฎหมายอีกครั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับบรรดาแกนนำ นปช. โดยเพิ่มข้อเสนอของ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ” หรือ คอป. ที่มี “คณิต ณ นคร” เป็นประธาน ที่เสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวให้โอกาสต่อสู้ตามพระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ มาเป็นข้อมูลใหม่ โดยใช้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลมาประทับตรารับรองอีกแรง หลังจากที่พยายามยื่นประกันครั้งแล้วครั้งเล่า ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลวทุกครั้งไป
แต่อีกด้านกลับเตรียมการกดดันกระบวนการยุติธรรมแบบไม่สนใจถึงแง่มุมความเหมาะสมแต่อย่างใด โดยไม่รอให้ผลการยื่นประกันตัวออกมาเสียก่อน ก็ประกาศเรียกรวมพล “ประจำเดือน” ในวันที่ 13 ก.พ.กันที่หน้าศาลอาญา รัชดาฯ ก่อนเคลื่อนพลไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เปลี่ยน “จุดสตาร์ท” จากสี่แยกราชประสงค์เหมือนธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติในระยะหลังๆ ที่เคยทำให้ผู้ค้าย่านนั้นไม่พอใจ จนต้องออกมาโวยวาย ร้อนถึงตำรวจที่ต้องมานั่งเป็นตัวการไกล่เกลี่ยอยู่นาน
จริงๆแล้วจุดนัดหมายหน้าศาลอาญา ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเคยประกาศว่างวดนี้จะรวมพลหน้าเรือนจำคลองเปรม ก่อนที่จะเปลี่ยนใจเลือกทำเลย่านรัชดาในที่สุด
การเปลี่ยนแผนกลางคันเป็นเพราะเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ มองว่าต้องการกดดันการยื่นขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดง ก็คงไม่ผิด โดยไม่ว่าคนเสื้อแดงจะยกทัพไปหน้าคุกหรือหน้าศาล เจตนาก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะชัดเจนถึงความต้องการกดดันกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง สอดรับการร่อนจดหมายขอความเห็นใจถึงผู้พิพากษา 1,300 คน ตามที่ได้ประกาศไว้อีกต่างหาก
ไม่เท่านั้นให้หลัง 1 สัปดาห์ยังมีการประกาศล่วงหน้าว่า ในวันที่ 19 ก.พ.ที่เตรียมบุกยึดทำเลหน้าศาลฎีกา พร้อมขู่ว่าอาจ “ยกระดับ” มาตรการกดดันอยู่ปักหลักค้างคืนอีกครั้ง แต่ไม่ระบุสถานที่ชัดเจนว่าที่หน้าศาล หรือกลับไปยึดสัมปทานเดิมที่ย่านราชประสงค์
ขัดแย้งกับการประกาศของ “จตุพร พรหมพันธุ์” เมื่อการชุมนุมครั้งก่อนว่าจะออกมาป่วนเดือนละครั้งเท่านั้น
จัดกระบวนเคลื่อนไหวแบบชุดใหญ่ ในช่วงจังหวะที่รัฐบาลโดนทั้งศึกใน-ศึกนอกประดังประเดจนพัลวันพันตัว
งานนี้กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้คิดถึงขั้น “แตกหัก” แน่นอน เพราะที่ผ่านมาตั้งเป้าหมายเช่นนี้ทีไรเป็นฝ่ายตัวเองที่ต้อง “แตกพ่าย” ทุกที ดังนั้นเป้าหมายหลักคงเป็นเพียงการช่วยเหลือพวกพ้องตัวเองให้พ้นตารางออกมาให้ได้ โดยเป้าหมายหลักของ “ธิดาแดง” หนีไม่พ้นการช่วยให้ “เหวง โตจิรากร” สามีตัวเองพ้นจากการถูกจองจำในคุก ส่วนคนอื่นๆอาจเป็นเพียงแค่ “ของแถม” ซึ่งที่ผ่านมา “ธิดาแดง” พยายามทั้งการ “ต่อสาย” พูดคุยกับคนในรัฐบาล รวมไปถึงการดักพบกันตัวเป็นๆกับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เพื่ออ้อนวอนขอให้หาทางช่วยสามีตัวเองและพวก แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะแม้ “อภิสิทธิ์” จะรับปากดูแลให้ แต่ก็อ้างว่าทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของศาล
ซึ่งประเด็นนี้ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาโวยเรื่อง “สองมาตรฐาน” เพราะในทางกลับกันแกนนำพันธมิตรฯที่โดนข้อหา “ก่อการร้าย” ในระดับเดียวกัน กลับได้รับการประกันตัวออกมาเป็นทิวแถว รวมทั้งกรณีล่าสุดที่ "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์-สมบูรณ์ ทองบุราณ-การุณ ใสงาม" ได้รับการประกันตัวอย่างง่ายดาย หลังการถูกจับตามหมายจับไม่นาน
แต่หาก “ธิดาแดง” จะโวยวายในเรื่องนี้ ก็อย่าลืมว่า “รูปธรรม” ของคำว่า “ก่อการร้าย” ของม๊อบทั้ง 2 สีต่างกัน เพราะแม้พันธมิตรฯจะบุกยึดสนามบิน แต่ความเสียหายที่ออกมาถูกประเมินและตีค่าในแง่ “นามธรรม” มากกว่า เพราะไม่มีภาพความเสียหายของสถานที่ที่ชัดเจน ต่างจากการเผาบ้านเผาเมืองและการใช้อาวุธที่ปรากฎในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ไม่แปลกที่ดุลพินิจของผู้พิพากษาจะไม่เหมือนกัน
แม้หนทางริบหรี่ก็ยังไม่หมดหวัง เมื่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศพึ่งไม่ได้ ก็ไปหวังเอาดาบหน้ากับกระบวนการยุติธรรมระดับนานาชาติ แต่คล้ายจะเป็นการประจานตัวเองในระดับสากลเป็น “ปาหี่ระดับโลก” มากกว่า เมื่อมอบหมายให้ “โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม” ทนายของ “ทักษิณ ชินวัตร” เดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องร้อง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ฐานสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากอีกทางหนึ่ง
ซึ่งที่ผ่านมา “คนเสื้อแดง” พยายามเรียกร้องหาความยุติธรรม แต่ดันทำตัวเป็น “ปรปักษ์” มีพฤติกรรมกดดันองค์กรศาลอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลการตัดสินไม่เป็นถูกใจหรือเป็นประโยชน์กับตัวเอง ก็เดินหน้าด่าสาดเสียเทเสียทันที ทั้งที่รู้กันดีว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันตุลาการนั้นไม่เหมาะสม
ครั้งนี้เช่นกัน เพราะหากพิจารณาจากธรรมนูญของศาลอาญาโลกระบุไว้ชัดว่าพิจารณาเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับ “อาชญากรผู้ล้างชาติ ผิดต่อมนุษยชาติ ละเมิดอาญาศึก หรือรุกรานอธิปไตย” อีกทั้งประเทศไทยยังไม่เป็นภาคีในองค์กรนี้ แต่กลับอ้างว่า “อภิสิทธิ์” ถือ 2 สัญชาติ ไทย-อังกฤษ ไปกล่าวอ้างกับศาล จึงมีโอกาสน้อยมากที่ “ศาลอาญาโลก” จะรับฟ้อง เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์การพิจารณาคดี
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนเสื้อแดงจะบุกไปกดดันที่ทำการศาลอาญาโลก ที่อยู่ไกลถึงกรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ เลยหรือ
ท้ายที่สุดหนีไม่พ้นได้แค่ประจานตัวเองมีหวังขายขี้หน้าไปทั่วโลก จับทางความเคลื่อนไหวของ “ทนายอัมเตอร์ดัม” ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่ออกมาคุยว่าล๊อบบี้ให้สภาฯสหรัฐเชิญ “นช.แม้ว” ไปให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย ป่านนี้ก็ยังไม่เห็น “นช.แม้ว” ได้ไปเหยียบแดนมะกันเสียที
ก็แค่ละครอีกฉากที่ “ลูกจ้าง” หวังออกแอ๊คชั่นตบทรัพย์ “นายจ้าง” เท่านั้น
แม้ว่าจะมีการ “ตั้งแท่น” เพื่อยื่นขอประกันตัวต่อศาลอาญาตามกระบวนการทางกฎหมายอีกครั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับบรรดาแกนนำ นปช. โดยเพิ่มข้อเสนอของ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ” หรือ คอป. ที่มี “คณิต ณ นคร” เป็นประธาน ที่เสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวให้โอกาสต่อสู้ตามพระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ มาเป็นข้อมูลใหม่ โดยใช้คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลมาประทับตรารับรองอีกแรง หลังจากที่พยายามยื่นประกันครั้งแล้วครั้งเล่า ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลวทุกครั้งไป
แต่อีกด้านกลับเตรียมการกดดันกระบวนการยุติธรรมแบบไม่สนใจถึงแง่มุมความเหมาะสมแต่อย่างใด โดยไม่รอให้ผลการยื่นประกันตัวออกมาเสียก่อน ก็ประกาศเรียกรวมพล “ประจำเดือน” ในวันที่ 13 ก.พ.กันที่หน้าศาลอาญา รัชดาฯ ก่อนเคลื่อนพลไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เปลี่ยน “จุดสตาร์ท” จากสี่แยกราชประสงค์เหมือนธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติในระยะหลังๆ ที่เคยทำให้ผู้ค้าย่านนั้นไม่พอใจ จนต้องออกมาโวยวาย ร้อนถึงตำรวจที่ต้องมานั่งเป็นตัวการไกล่เกลี่ยอยู่นาน
จริงๆแล้วจุดนัดหมายหน้าศาลอาญา ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเคยประกาศว่างวดนี้จะรวมพลหน้าเรือนจำคลองเปรม ก่อนที่จะเปลี่ยนใจเลือกทำเลย่านรัชดาในที่สุด
การเปลี่ยนแผนกลางคันเป็นเพราะเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ มองว่าต้องการกดดันการยื่นขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดง ก็คงไม่ผิด โดยไม่ว่าคนเสื้อแดงจะยกทัพไปหน้าคุกหรือหน้าศาล เจตนาก็ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะชัดเจนถึงความต้องการกดดันกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง สอดรับการร่อนจดหมายขอความเห็นใจถึงผู้พิพากษา 1,300 คน ตามที่ได้ประกาศไว้อีกต่างหาก
ไม่เท่านั้นให้หลัง 1 สัปดาห์ยังมีการประกาศล่วงหน้าว่า ในวันที่ 19 ก.พ.ที่เตรียมบุกยึดทำเลหน้าศาลฎีกา พร้อมขู่ว่าอาจ “ยกระดับ” มาตรการกดดันอยู่ปักหลักค้างคืนอีกครั้ง แต่ไม่ระบุสถานที่ชัดเจนว่าที่หน้าศาล หรือกลับไปยึดสัมปทานเดิมที่ย่านราชประสงค์
ขัดแย้งกับการประกาศของ “จตุพร พรหมพันธุ์” เมื่อการชุมนุมครั้งก่อนว่าจะออกมาป่วนเดือนละครั้งเท่านั้น
จัดกระบวนเคลื่อนไหวแบบชุดใหญ่ ในช่วงจังหวะที่รัฐบาลโดนทั้งศึกใน-ศึกนอกประดังประเดจนพัลวันพันตัว
งานนี้กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้คิดถึงขั้น “แตกหัก” แน่นอน เพราะที่ผ่านมาตั้งเป้าหมายเช่นนี้ทีไรเป็นฝ่ายตัวเองที่ต้อง “แตกพ่าย” ทุกที ดังนั้นเป้าหมายหลักคงเป็นเพียงการช่วยเหลือพวกพ้องตัวเองให้พ้นตารางออกมาให้ได้ โดยเป้าหมายหลักของ “ธิดาแดง” หนีไม่พ้นการช่วยให้ “เหวง โตจิรากร” สามีตัวเองพ้นจากการถูกจองจำในคุก ส่วนคนอื่นๆอาจเป็นเพียงแค่ “ของแถม” ซึ่งที่ผ่านมา “ธิดาแดง” พยายามทั้งการ “ต่อสาย” พูดคุยกับคนในรัฐบาล รวมไปถึงการดักพบกันตัวเป็นๆกับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เพื่ออ้อนวอนขอให้หาทางช่วยสามีตัวเองและพวก แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะแม้ “อภิสิทธิ์” จะรับปากดูแลให้ แต่ก็อ้างว่าทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของศาล
ซึ่งประเด็นนี้ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาโวยเรื่อง “สองมาตรฐาน” เพราะในทางกลับกันแกนนำพันธมิตรฯที่โดนข้อหา “ก่อการร้าย” ในระดับเดียวกัน กลับได้รับการประกันตัวออกมาเป็นทิวแถว รวมทั้งกรณีล่าสุดที่ "ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์-สมบูรณ์ ทองบุราณ-การุณ ใสงาม" ได้รับการประกันตัวอย่างง่ายดาย หลังการถูกจับตามหมายจับไม่นาน
แต่หาก “ธิดาแดง” จะโวยวายในเรื่องนี้ ก็อย่าลืมว่า “รูปธรรม” ของคำว่า “ก่อการร้าย” ของม๊อบทั้ง 2 สีต่างกัน เพราะแม้พันธมิตรฯจะบุกยึดสนามบิน แต่ความเสียหายที่ออกมาถูกประเมินและตีค่าในแง่ “นามธรรม” มากกว่า เพราะไม่มีภาพความเสียหายของสถานที่ที่ชัดเจน ต่างจากการเผาบ้านเผาเมืองและการใช้อาวุธที่ปรากฎในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ไม่แปลกที่ดุลพินิจของผู้พิพากษาจะไม่เหมือนกัน
แม้หนทางริบหรี่ก็ยังไม่หมดหวัง เมื่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศพึ่งไม่ได้ ก็ไปหวังเอาดาบหน้ากับกระบวนการยุติธรรมระดับนานาชาติ แต่คล้ายจะเป็นการประจานตัวเองในระดับสากลเป็น “ปาหี่ระดับโลก” มากกว่า เมื่อมอบหมายให้ “โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม” ทนายของ “ทักษิณ ชินวัตร” เดินหน้ายื่นเรื่องฟ้องร้อง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ฐานสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากอีกทางหนึ่ง
ซึ่งที่ผ่านมา “คนเสื้อแดง” พยายามเรียกร้องหาความยุติธรรม แต่ดันทำตัวเป็น “ปรปักษ์” มีพฤติกรรมกดดันองค์กรศาลอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลการตัดสินไม่เป็นถูกใจหรือเป็นประโยชน์กับตัวเอง ก็เดินหน้าด่าสาดเสียเทเสียทันที ทั้งที่รู้กันดีว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันตุลาการนั้นไม่เหมาะสม
ครั้งนี้เช่นกัน เพราะหากพิจารณาจากธรรมนูญของศาลอาญาโลกระบุไว้ชัดว่าพิจารณาเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับ “อาชญากรผู้ล้างชาติ ผิดต่อมนุษยชาติ ละเมิดอาญาศึก หรือรุกรานอธิปไตย” อีกทั้งประเทศไทยยังไม่เป็นภาคีในองค์กรนี้ แต่กลับอ้างว่า “อภิสิทธิ์” ถือ 2 สัญชาติ ไทย-อังกฤษ ไปกล่าวอ้างกับศาล จึงมีโอกาสน้อยมากที่ “ศาลอาญาโลก” จะรับฟ้อง เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์การพิจารณาคดี
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนเสื้อแดงจะบุกไปกดดันที่ทำการศาลอาญาโลก ที่อยู่ไกลถึงกรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ เลยหรือ
ท้ายที่สุดหนีไม่พ้นได้แค่ประจานตัวเองมีหวังขายขี้หน้าไปทั่วโลก จับทางความเคลื่อนไหวของ “ทนายอัมเตอร์ดัม” ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งที่ออกมาคุยว่าล๊อบบี้ให้สภาฯสหรัฐเชิญ “นช.แม้ว” ไปให้ข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย ป่านนี้ก็ยังไม่เห็น “นช.แม้ว” ได้ไปเหยียบแดนมะกันเสียที
ก็แค่ละครอีกฉากที่ “ลูกจ้าง” หวังออกแอ๊คชั่นตบทรัพย์ “นายจ้าง” เท่านั้น