ศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับคำร้อง “เพรียวพันธ์” รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1 ฟ้อง “มาร์ค-เทือก” จับมือชงตั้ง “วิเชียร” เป็น ผบ.ตร.ต่อที่ประชุม ก.ต.ช.เพียงคนเดียว พร้อมสั่งยกคำร้อง 3 ข้อหา เหตุผู้ฟ้องไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงและฟ้องซ้ำ
วันนี้ (10 ก.พ.) องค์คณะศาลปกครองกลาง ที่มี นายลิขิต ศกุนะสิงห์ ตุลาการศาลปกครองกลาง เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องบางข้อหาที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายตำแหน่งแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน กรณีออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่ง และรักษาราชการในตำแหน่งสำคัญหลายคำสั่งที่ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย
โดยข้อหาที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับไว้พิจารณา ประกอบด้วย 1.กรณีฟ้องว่านายกฯใช้อำนาจออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 183/2552 ลงวันที่ 4 ส.ค.52 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 188/2552 ลงวันที่ 11 ส.ค.52 แต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เนื่องจากศาลเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาไว้สั้น และปัจจุบันได้สิ้นผลลงแล้ว ประกอบกับท้ายคำขอของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน หรือพิพากษาว่าคำสั่งทั้ง 2 ฉบับไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากที่สุดแล้วศาลมีคำพิพากษาตามที่ขอ ผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ได้มีผลเป็นการแก้ไข หรือบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงแก่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เนื่องจากไม่ใช่คู่กรณี หรือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการออกคำสั่งดังกล่าว อีกทั้งคำสั่งสำนักนายกฯทั้งสองฉบับ เป็นการแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร ให้รักษาการตำแหน่ง ผบ.ตร.ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวของนายกฯจึงมิได้มีผลกระทบโดยตรงต่อสถานภาพของสิทธิ หรือหน้าที่ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้สิทธิฟ้องคดี
2.กรณีฟ้องว่า นายกฯกระทำการโดยไม่ชอบในการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 211/2552 ลงวันที่ 29 ก.ย.52 เรื่องแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็นรักษาราชการแทน ผบ.ตร.เพราะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป เพียงรายชื่อเดียวให้ ก.ต.ช.มีมติเห็นชอบ ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแบบธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติมา ศาลเห็นว่า กรณีนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เคยฟ้องเป็นคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาด้วยเหตุว่าคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อสิทธิของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ อันจะถือได้ว่าเป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย จึงมีผลทำให้คดีดังกล่าวเป็นที่สุดไปแล้ว การฟ้องครั้งนี้จึงถือเป็นการฟ้องซ้ำต้องห้ามตามข้อ 97 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยการพิจารณาคดีปกครอง ที่ห้ามมิให้คู่กรณีเดียวกันฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียว อีกทั้งข้อหาที่ฟ้องก็ไม่ได้เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ส่วนรวมที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้
3.กรณีฟ้องว่า นายกฯมอบหมายให้ นายสุเทพ ทำหน้าที่ประธาน ก.ตร.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547 ขอให้ศาลพิพากษาว่าการมอบหมายดังกล่าวไม่ถูกต้อง และไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลเห็นว่า เหตุแห่งความเดือดร้อนเสียหายที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำคดีมาฟ้องเนื่องจากมองว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้อำนาจของนายกฯ ที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ให้รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร.และให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ทำให้การบริหารงานบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียระบบคุณธรรม ไม่เป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติกันมา โดย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ตร.อาวุโสลำดับที่ 1 อยู่ในหลักเกณฑ์ ที่ควรได้รับการพิจารณาเสนอชื่อเพื่อให้ดำรงตำแหน่ง แต่กลับถูกเลือกปฏิบัติ เนื่องจากไม่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวประเด็นพิพาทในคดี จึงมีว่า การที่นายกฯเสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร เพียงรายชื่อเดียวเพื่อขอความเห็นชอบจาก ก.ต.ช.ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มติของ ก.ต.ช.ที่เห็นชอบรายชื่อที่เสนอมาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และคำวินิจฉัยร้องทุกข์ของอนุกรรมการร้องทุกข์ของ ก.ตร.ที่ให้ยกและไม่รับคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น การกระทำของนายกฯที่มอบให้นายสุเทพ ทำหน้าที่ประธานก.ตร.แทนนั้น จึงไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเหตุแห่งความเดือดร้อนเสียหายของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ โดยตรง แม้หากการกระทำของนายกฯจะไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่อ้างจริง คำขอที่ให้ศาลพิพากษา ว่า การมอบหมายดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่มีผลเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนเสียหาย โดยตรงให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงไม่อยู่ในฐานะผู้มีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้
ส่วนข้อหาที่ศาลรับฟ้องไว้พิจารณามีเพียงข้อหาเดียว คือ กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกฯที่เสนอชื่อ พล.ต.อ.วิเชียร เพียงรายชื่อเดียวต่อ ก.ต.ช.และมติ ก.ต.ช.ในการประชุมครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 9 ส.ค.53 เฉพาะวาระที่ 3 เรื่องที่ 3 การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ที่เห็นชอบให้ พล.ต.อ.วิเชียร ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ตามที่นายกฯเสนอ และมีคำสั่งให้นายกฯดำเนินการคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจแล้วเสนอให้ ก.ต.ช.พิจารณาคัดเลือกและให้ความเห็นชอบใหม่ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป และขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการร้องทุกข์ ที่ให้ยกคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดังกล่าว หรือมีคำพิพากษาว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย