xs
xsm
sm
md
lg

“จำลอง” ซัด “มาร์ค” อ่อนแอ จนถูกเขมรสั่งถล่ม เครือข่ายคนไทยฯ จี้ลาออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
“พล.ต.จำลอง” ชี้เหตุเขมรเปิดสงคราม เพราะความอ่อนแอของ “รัฐบาลมาร์ค” เพราะมัวแต่ใช้หลักเจรจา และเมินข้อเรียกร้องของภาคประชาชน โดยไม่ปกป้องอธิปไตยไทยตามหน้าที่ แถมยังโอบอุ้มเอ็มโอยู 43 จนตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาโดยตลอด ด้านแกนนำเครือข่ายคนไทยฯ จี้ลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ


วันนี้ (4 ก.พ.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ใกล้กับปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า ตามข่าวที่ทราบจากแนวร่วมพันธมิตรฯที่อยู่ในพื้นที่ระบุว่า เกิดการปะทะในเวลาราว 15.30 น. โดยทหารกัมพูชาฝ่ายยิงเข้ามาก่อน รวมทั้งมีการเผาที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ แต่ยังไม่สามารถยืนยันข่าว อย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่า เมื่อได้ยินข่าวการปะทะ ไม่มีใครดีใจ เพราะหมายถึงจะมีความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะถึงการสูญเสียชีวิตด้วย แต่ถ้ารัฐบาลทำตามที่พันธมิตรฯเสนอแนะไป 3 ข้อจะไม่มีการปะทะเกิดขึ้นแน่นอน และหากทิ้งไว้นานเข้า ไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม อาจลุกลามใหญ่โตกว่านี้

“การปะทะครั้งนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า MOU 2543 ที่นายกฯอภิสิทธิ์อ้างว่า ไม่ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันนั้น ผิดมาโดยตลอด แสดงให้เห็นอีกว่า MOU 2543 ไม่มีประโยชน์” พล.ต.จำลอง กล่าว

เมื่อถามต่อถึงแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้กลุ่มพันธมิตรฯเข้าชื่อประชาชน 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้มีการยกเลิก MOU 2543 ผ่านขั้นตอนรัฐสภา พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถประกาศได้ทันที อย่างไรก็ตามหากมีการเสนอเช่นนนี้ก็มีความเป็นไปได้ แต่ต้องมีการปรึกษาหารือกันก่อน เพียงแต่อย่ามาหลอกให้ทำแล้วไม่ตอบรับ

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า ขอยืนยันอีกว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ใช่ชนวนในการปะทะครั้งนี้ เพราะหากเป็นเช่นนนั้นคงเกิดมาตั้งแต่ 2 ปีที่เราเรียกร้องเรื่องนี้มา ส่วนสาเหตุที่เกิดนั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าปะทะกันเรื่องใด สิ่งที่พันธมิตรฯพยายามเรียกร้องให้มีการแสดงแสนยานุภาพนั้นไม่ใช้การปะทะ เพราะการสั่งสมอาวุธมีประโยชน์ทำให้ไม่เกิดสงคราม เหมือนคำกลอนที่ว่า “แม้หวังตั้งสงบ พึงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” ทั้งนี้การปะทะในครั้งนี้ไม่มีผลต่อท่าทีการชุมนุม เป็นเพียงประเด็นเพิ่มเติม โดยเป้าหมายหลักยังเป็นเช่นเดิมในการเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ออกมาทำหน้าที่

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เหตุที่ทหารกัมพูชากล้าปะทะกับทหารไทยทั้งที่ศักยภาพทางการทหารสู้ไม่ได้นั้น เพราะเห็นว่านายกรัฐมนตรีไทยอ่อนแอ ขี้ขลาดที่สุดตั้งแต่มีนายกฯมา ส่วนจะลุกลามบานปลายหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล อาวุธและกำลังทหารมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ หากมีพร้อมไม่มีใครกล้ารบด้วย แต่ผู้นำต้องกล้าหาญและฉลาดด้วย

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสรุปในการประชุมแกนนำพันธมิตรฯในช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.พ.) พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ในการประชุมได้มีการพูดถึงสถานการณ์การชุมนุมในช่วง 10 วันที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และพูดถึงรูปแบบการถามความคิดเห็นฉันทามติจากประชาชนในวันที่ 5 ก.พ.อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สามารถยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไร เราก็จะทำหน้าที่เพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำหน้าที่ให้ได้ ไม่ว่าจะมีการสลายการชุมนุมหรือไม่ก็ตาม

ส่วนประเด็นการสร้างสถานการณ์ในที่ชุมนุม พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ในที่ประชุมมีสรุปว่า 10 วันที่ผ่านมาการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ส่วนการเฝ้าระวังต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจ โดยตนได้ประสานงาน พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้จัดเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมอย่างเข้มงวด

ส่วนกรณีที่ทางกัมพูชาจะเสนอให้มีการถอนประเทศไทยออกจากการเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2555 พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถือเป็นไปตามความปรารถนาของเรา เพียงแต่นายกฯอภิสิทธิ์ไม่ยอมทำ เพราะเราไม่ต้องการเป็นเจ้าภาพหรือเป็นคณะกรรมการมรดกโลก เพราะหากเราไม่อยู่ในภาคีมรดกโลก มติคณะกรรมการก็ไม่สามารถบังคับเราได้ แต่ตราบใดที่ยังเป็นภาคีมรดกโลกอยู่มีแต่ความเสียหาย

“ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เราไม่ต้องการให้ปราสาทเข้าพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะจะทำให้เร้เสียพื้นที่ อย่างน้อยก็เสียสิทธิในพื้นที่ เนื่องจากจะมีการตั้งคณะกรรมการ 7 ประเทศเข้ามาดูแล แล้วอย่างนี้ยอมได้อย่างไรเพราะดินแดนของเราแท้ๆ” พล.ต.จำลอง กล่าว

เมื่อถามต่อถึงแนวทางการยกระดับการชุมนุมในวันที่ 5 ก.พ.นี้ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการคิดอย่างรอบคอบสุขุม ไม่ใช่ทำตามใจ อย่าเพิ่งคาดคิดล่วงหน้า ต้องมีการฟังมวลชนที่มาร่วมชุมนุม รวมถึงผู้ที่อยู่ที่บ้านหรือในต่างประเทศ ว่าจะให้นายกฯอภิสิทธิ์รับผิดชอบอย่างไร เมื่อไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน โดยบอกไม่ได้ว่าจะไปไหนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนเรื่องจำนวนคนไม่เป็นอุปสรรคใดๆ หากแต่มียิ่งมากยิ่งดี จะสามารถกดดันรัฐบาลได้มากขึ้น

ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกปอ้งแผ่นดิน กล่าวว่า ในการประชุมของแกนนำมีการพูดคุยถึงการกำหนดกรอบการยกระดับการต่อสู้และเรียกร้องต่อรัฐบาล โดยขอความเห็นจากประชาชน ประกอบเหตุผลตาม 3 ข้อเรียกร้องที่เสนอให้รัฐบาลทำ และเมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ ทั้งนี้ได้มีการประเมินผลการชุมนุมตลอด 10 วันที่ผ่านมา ว่าความรู้สึกของประชาชนทั่วประเทศว่ารู้สึกอย่างไร ซึ่งทางแกนนำมีความพอใจในแง่การให้ความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาดินแดนและอธิปไตยดีขึ้นมาก และคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดที่เราเสนอ ซึ่งดีกว่าและน่าเชื่อถือกว่าของรัฐบาล ทั้งยังมีเสียงตำหนิรัฐบาลในการไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนอย่างรุนแรง ดังนั้นเรื่องจำนวนผ็ชุมนุมไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพียงแต่มีคนเข้าใจสิ่งที่เราทำหรือไม่ โดยแนวทางที่จะยกระดับต่อไปในเรื่องความทุจริตคอร์รัปชั่นจะยิ่งทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ

ส่วนกรณีที่มีการประกาศเบอร์โทรศัพท์ของนายกฯอภิสิทธิ์ในการปราศรัยนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายกฯอภิสิทธิ์เป็ฯคนถามเองว่าจะทำอย่างไร จึงอยากให้ประชาชนแสดงความถึงนายกฯโดยตรง ส่วนการยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ในเรื่องการทุจริตคอรร์ปชั่นนั้นเป็นเพียงการเล่นโวหารของคนในรัฐบาล เพราะนายกฯเป็นคนพูดเองว่าไม่ต้องรอให้มีกระบวนการทางกฎหมาย หากเรื่องมีมูลจะต้องรับผิดชอบ

ด้าน นายการุณ ใสงาม แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวถึงกรณีที่เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาว่า ทางกลุ่มฯ ยังไม่ขอเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เห็นว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของทหารที่ต้องปกป้องอธิปไตย จะให้ผู้ชุมนุมเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ไปรบแทนไม่ได้ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าการจะยึดเอ็มโอยู 43 ไว้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย

ขณะที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ระบุอีกว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรียอมรัฐบาลกัมพูชามาโดยตลอด จากเหตุการณ์ทั้งหมดต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อให้บุคคลที่กล้าตัดสินใจมาดำรงตำแหน่งแทน
กำลังโหลดความคิดเห็น