“พนิช” เผยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ประสานทำความเข้าใจกับกลุ่มพันธมิตรฯถึงจุดยืนของรัฐบาลแก้ปัญหากัมพูชา พร้อมนำข้อมูลของพันธมิตรฯ มาชี้แจงรัฐบาล เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจข้อมูลตรงกัน อ้าง 3 กลุ่มย่อยมีแนวโน้มเข้าใจแล้ว เหลืออีก 1 กลุ่มที่ยังเห็นต่าง วอนอย่าโจมตีกระบวนการยุติธรรมเขมร หวั่นกระทบ “วีระ-ราตรี” ค้าน “ไชยวัฒน์” เข้าร่วมเสื้อแดงไล่รัฐบาล ชี้ปัญหาเขตแดนทุกคนในประเทศต้องร่วมกันแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ม.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ จัดงาน “ส.ส., ส.ก. และ ส.ข.พบประชาชน” ที่มัสยิดมิฟตาฮุ้ลยีนาน หรือมัสยิดลำเจียก เขตบึงกุ่ม โดยมี นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. ร่วมพบปะประชาชนในเขตพื้นที่บึงกุ่มด้วย โดยประชาชนได้ให้การต้อนรับนายพนิชและสอบถามถึงความเป็นอยู่ระหว่างถูกกุมขังที่เรือนจำกัมพูช พร้อมให้กำลังใจ โดยนายพนิชกล่าวแสดงความรู้สึกดีใจที่ได้เดินทางกลับบ้านและมาพบปะกับประชาชนในเขตบึงกุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาแจ้งเกิดทางการเมือง และรู้สึกภูมิใจที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
นายพนิชถือโอกาสชี้แจงถึงการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว จนเป็นเหตุให้ถูกกัมพูชาจับกุมพร้อมพวกรวม 7 คนว่า เข้าไปดูปัญหาของประชาชนบริเวณแนวชายแดนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ต้องติดคุกอยู่ถึง 20 คืนจนถึงขณะนี้ก็ยังมีคนไทยถูกดำเนินคดีและถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ จึงขอให้พี่น้องประชาชนส่งกำลังใจไปให้คนไทยที่ยังถูกดำเนินคดีในกัมพูชาด้วย
“สำหรับผมอาจมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ผมบนศีรษะหายไปหมดเพราะถูกแมลงสาบกัด น้ำหนักลดไป 3 กิโลกรัม เพราะรับประทานอาหารมังสวิรัติขณะถูกจับกุมอยู่ในเรือนจำ ส่วนผิวที่เข้มหรือดำขึ้น เป็นเพราะขณะติดคุกออกมานั่งตากแดดเป็นเวลา 2 ชั่วโมงทุกวัน เนื่องจากต้องการรับแสงแดดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะต้องถูกควบคุมตัวโดยไม่โดนแดดเป็นเวลาถึง 22 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นในช่วงนี้ผมจึงชอบแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์มากที่สุด”
นายพนิชกล่าวถึงกรณีได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปเจรจากับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ชุมนุมยืดเยื้ออยู่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาลว่า คงไม่ได้เป็นการเจรจา เพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม แต่เป็นการเข้าไปพูดคุยให้เข้าใจถึงจุดยืนของรัฐบาล และนำเอาจุดยืนพร้อมข้อมูลของกลุ่มพันธมิตรฯมาชี้แจงกับรัฐบาล เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจข้อมูลตรงกันมากขึ้น
ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า แม้ว่าตนจะไม่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แนวร่วมพันธมิตรฯเป็นคนในพื้นที่บึงกุ่ม และมีโอกาสได้ไปเผชิญชะตากรรมร่วมกันในประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ตนยังได้เข้านมัสการสมณะโพธิรักษ์ เพื่ออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ผู้ใหญ่ของ 3 กลุ่มย่อยในพันธมิตรฯมีแนวโน้มที่เข้าใจตรงกันมากขึ้น โดยเฉพาะการยอมรับในแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ของรัฐบาล โดยไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่บางคนอาจมีวิธีการแสดงออกที่ต่างกัน คงเหลือเพียงกลุ่มย่อยๆอีก 1 กลุ่มที่ยังมีความเห็นแตกต่าง ดังนั้นจึงต้องพยายามพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันต่อไปทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
“หากการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เขาก็สามารถใช้สิทธิชุมนุมต่อไปได้ แต่ไม่ควรชุมนุมด้วยอารมณ์ โดยเฉพาะการปราศรัยกล่าวหากระบวนการยุติธรรมของประเทศใด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อคนไทยที่ถูกดำเนินคดี ยืนยันว่ารัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ อย่างเต็มที่ สิ่งที่ผมอยากฝากก็คืออย่าลืมชะตากรรมของอีก 2 คนไทย ที่ต้องช่วยเหลือให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นใน การขึ้นเวทีปราศรัยจึงอยากขอร้องไม่ให้พูดเรื่องคดี และไม่อยากพูดในสิ่งที่จะกระทบความสัมพันธ์ สถานการณ์ขณะนี้จำเป็นต้องใช้การพูดคุยเจรจา”
นายพนิชกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติจะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อขับไล่รัฐบาล ปัญหาชายแดนไทยไม่ได้จบที่รัฐบาล ไม่ว่าพรรคใดขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ต้องแก้ไขปัญหาเขตแดน คำตอบของเรื่องนี้จึงอยู่ที่คนทั้งประเทศจะร่วมกันแก้ปัญหาอย่างไร ตนเชื่อว่าไม่มีคนไทยคนใดมีความคิดขายชาติ ทุกคนต่างต้องการปกป้องอธิปไตยและแผ่นดินไทย โดยเฉพาะรัฐบาลที่พยายามผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตแดนไทยอยู่ตลอด เพียงแต่การผลักดันจะต้องไม่เกิดปัญหาการเผชิญหน้าหรือเป็นอันตรายต่อประชาชน 2 ประเทศ ดังนั้นทุกกลุ่มควรหันหน้ามาพูดคุยกัน เอาข้อมูลและความจริงออกมาหารือเป็นการภายใน ไม่ใช่เอาข้อมูลทุกแง่ทุกมุมออกมาเปิดเผย เพราะทางกัมพูชาเขากำลังเก็บข้อมูลที่แต่ละฝ่ายนำออกมาตีแผ่ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในการเจรจาแต่ละเวที
“ผมยอมรับว่าล้ำเข้าไปเกินเส้นปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งในวันนี้ยังไม่ได้ข้อยุติว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนไทยหรือกัมพูชา ซึ่งจะได้คำตอบเมื่อมีการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้น ดังนั้นในเวลานี้คนในชาติต้องหันหน้ามาพูดคุยทำความเข้าใจให้ตรงกัน ตอนนี้แม้แต่คนในกระทรวงการต่างประเทศยังมีความเห็นแตกต่างกันโดยเฉพาะเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ดังนั้นผมจะเสนอต่อพรรคประชาธิปัตย์ ให้กำหนดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศ เป็นนโยบายหลักของพรรคในการหาเสียงครั้งต่อไป เพื่อประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่าพรรคจะเดินหน้าสานความสัมพันธ์และอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนในอีก 4 ปีข้างหน้า”