เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 ได้ยินคำพูดของ “เทพเทือก” พักหลังๆยิ่งไม่เข้าท่าเข้าไปทุกวัน ไม่รู้ว่าเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงภาษาอะไร ฟังดูแล้วบางครั้งจะว่า “โง่” ก็ไม่เชิง แต่เอาเป็นว่าหงุดหงิดทุกที อย่างการพูดถึง 3 ข้อเสนอของพันธมิตรฯที่ต้องการให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 การถอนตัวจากสมาชิกมรดกโลก และให้ผลักดันเขมรที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไป หากรัฐบาลทั่วไปที่มีความสำนึกในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ก็ต้องยินดี หรือมีท่าทีตอบสนอง ไม่ใช่บอกปัดเสียแต่ต้นมือ อ้างว่าทำไม่ได้ แถมยังมาใส่ร้ายคนอื่นอีกว่ามีเจตนามิชอบเสียอีก ดังนั้นทางที่ดีพันธมิตรฯน่าจะเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อให้ “ไสหัว” สุเทพ ออกไปก่อน เพราะอยู่ไปก็รังแต่ทำลายความมั่นคง และน่าสงสัยว่า “มีนอกมีนัย” กับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ทั้งบนบกและทางทะเล หรือไม่ เพราะบทบาทดูแล้วพิกล
00 หากพิจารณาข้อเสนอของพันธมิตรฯทั้ง 3 ข้อดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเกินเลย เพราะหากค่อยๆพินิจตามความเป็นจริงที่เป็นอยู่ และศักดิ์ศรีของชาติมันก็ไม่สมควรที่จะปฏิเสธ แต่นี่นอกว่าโยนทิ้งไม่ใยดีแล้ว ยังมีเจตนาใส่ร้ายกล่าวหาคนอื่นในทางมิชอบเสียอีก แต่มองอีกมุมหนึ่งอย่าได้แปลกใจก็คนๆนี้แหละที่ออกมาการันตีให้เสร็จสรรพว่า 7 คนไทย “ล้ำแดน” กัมพูชาลึกเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร สรุปความผิด “ยกดินแดน” ให้เขาไปเรียบร้อย คนที่มีทัศนคติแบบนี้ยังสมควรเป็นคนไทยอีกหรือไม่ไปคิดกันเอาเอง
00 ในช่วงหลังมานี้สิ่งที่คนสำคัญในรัฐบาล โดยเฉพาะ นายกฯอภิสิทธิ์ นำมาใช้ “เล่นเกม” การเมืองก็คือใช้วิธี “ลอยตัว” เหนือ “เหลือง-แดง” เป็นการเหมารวม โดยจงใจบิดเบือนไม่พิจารณาที่มาที่ไปว่าวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนไหวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือสื่อให้เห็นว่า ทั้งสองสีนี้ “ก่อความวุ่นวาย” ทำลายโอกาสความก้าวหน้า ทำลายบรรยากาศ เป้าหมายก็คือแยกตัวเองออกมา ซึ่งนาทีนี้คือ “สลัด” ออกมาให้เห็นว่าอยู่ “คนละส่วน” กับพันธมิตรฯ คำนวณแล้วว่าวิธีการแบบนี้จะได้ใจ “คนส่วนใหญ่” ที่มองการเมืองแบบผิวเผิน มองการต่อสู้ทวงความยุติธรรมไปอีกมุมหนึ่งว่า วุ่นวายเป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน เป็นต้น
00 ว่าแล้วเชียวต้องมีอะไร “ทะแม่ง” กับการจับกุม “5การ์ดแดง” พร้อมอาวุธสงครามล็อตใหญ่ยังกะ “คลังแสง” เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ก่อนการชุมนุมของพันธมิตรฯเพียงหนึ่งวัน แถมจุดที่จับกุมก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับสะพานมัฆวานฯจุดที่จะตั้งเวทีปราศรัย น่าสงสัยก็คือผู้ต้องหารายนี้มันก็ “ปากพล่อย” ถามอะไรบอกหมด และยังนำไปตรวจห้องพักและตามรวบได้อีก 4 คน
00 แม้ในตอนแรกที่รับทราบข่าวรู้สึกชื่นชมตำรวจว่าทำงานได้เร็ว ป้องกันเหตุร้ายได้ทันท่วงที แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบรอบข้างมันส่อพิรุธออกมาในแนว “จัดฉาก” ประเภท “รับงาน” มาเพื่อ “บั่นทอน” กำลังของอีกฝ่าย หรือ “ทำลายทุกฝ่าย” ไปพร้อมกัน เริ่มจากตำรวจที่นำทีมอย่าง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา สบ.10 รักษาราชการ ผบช.ภ. 1 และ ทีมฉก.จับกุมอย่าง พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบก.น.6 เพราะจับกุมในพื้นที่ บกน.1 แต่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เจ้าของพื้นที่ รวมทั้ง ผบ.ตร.พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กลับไม่รู้เรื่อง และหลังการจับกุมกลับไปรายงานต่อรองนายกฯฝ่าย “ทำลายความมั่นคง” อุบ ขอโทษ!! ฝ่ายความมั่นคง ถึงทำเนียบฯตั้งนานสองนาน แต่เอาเถอะนี่เป็นแค่การสงสัย ไม่อยากด่วนสรุป ให้เกิดความเข้าใจผิด ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป !!
00 เริ่มแล้วสำหรับ “ภารกิจส่วนตัว” ของ “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลาย และเชื่อว่าด้วย “ผลประโยชน์” ที่บวกลบคูณหารแล้วคุ้มค่า แม้บางเรื่องอาจต้องกัดฟันกลืนเลือดบ้างก็ต้องอดทน เพื่อไม่ให้เสียการใหญ่ ใช่แล้วกำลังพูดถึงการแก้ไขรธน.ที่กำลังเข้าสู่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาอีกรอบเมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) เพื่อพิจารณาในวารสองและสามต่อไป
00 สังเกตหรือไม่ว่าถ้าเรื่องใดเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องชี้อนาคตของนักการเมืองพวกเดียวกันเองก็จะ “กุลีกุจอ” กระตือรือล้นกันจนผิดปกติ แม้แต่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกับนั่งไม่ติดต้องผลักดันวาระ “ลัดคิว” เข้ามาก่อน กลายเป็นว่าการแก้ไข รธน. แบบ “แบ่งเขตเล็ก” เป็นเรื่องเร่งด่วนรอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว อย่างไรก็ดีในที่สุดเชื่อว่าผลสรุปที่ออกมากลายเป็นว่า ประชาธิปัตย์จะมีแต่ “กำไร” มากที่สุด ขณะที่พรรคร่วมอื่นๆก็แบ่งกันไปตามสมควร แต่อย่าไปคิดว่า เพราะนี่คือการ “ฮั้ว” ของพรรค “นักกินเมือง” อุบ นักเลือกตั้ง ชาวบ้านไม่เกี่ยว ใสหัวไป !!
00 ดูตามรูปการณ์แล้วในที่สุดมีแนวโน้มว่าผลการโหวตในวาระที่ 3 ที่ต้องรออีก 15 วัน สำหรับประเด็นสัดส่วน ส.ส.น่าออกมาตาม “สูตรมาร์ค-เทือก” นั่นคือ 325-125 ขณะที่พรรคร่วมก็จะได้ “แบ่งเขตเล็ก” มีโอกาสดิ้นรนในสนามเลือกตั้งต่อไปประเภท “มึงมั่งกูมั่ง” แบ่งๆกันไป แต่ กู-ปชป.ได้มากหน่อย ไม่ว่ากันนะ ถึงอย่างไรก็ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้านั่นแหละ
00 คำพูดกลางวงพรรคร่วมรัฐบาลของ นายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เรียกร้องให้พรรคร่วมฯผนึกกำลังทำงานอีกประมาณ 4 เดือน และเร่งรัดให้รีบเสนอ ก.ม.ที่เห็นว่าจำเป็นเร่งด่วนเข้ามาโดยเร็ว จากนั้นก็เรียกร้องให้ “ร่วมงาน” กันอีก แม้จะคิดไปได้ต่างๆนานาว่าหมายถึงอะไรกันแน่ และประเภทพูด “ลื่นไหล” กำกวมแบบนี้ถือว่าถนัดนักละ แต่ถ้าให้เดาเหมือนกับ “จงใจ” ส่งสัญญาณว่าให้ “ระวัง” เวลา 4 เดือนที่เหลือ ให้เตรียมตัวรับมือ “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ หลังจากนั้นค่อยมา “จับมือ” หนุนหลังตัวเองกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบไช่มั๊ยละ !!