ประธาน กกต.ปัดตั้ง กก.พิจารณาฟ้องยุบ ปชป.ซ้ำ

ประธาน กกต.ปฏิเสธตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาฟ้องยุบ ปชป.ซ้ำ แค่ให้ศึกษาคำวินิจฉัยศาล รธน.ในคดีเงินสนับสนุนพรรค 29 ล้านบาท ส่วนที่มีผู้ร้องให้ฟ้องซ้ำ ต้องรอคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการศาล รธน.ในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ก่อนจึงจะให้ความชัดเจนได้

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องใน 2 คดี ที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขณะนี้คงต้องรอคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากศาลรัฐธรรมนูญก่อน ส่วนที่มีการมอบหมายให้คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ได้นำคำวินิจฉัยของคดีการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองของ กกต.จำนวน 29 ล้านบาท ไม่ตรงกับรายงานความเป็นจริง ไปพิจารณาและทำความเห็นเสนอมานั้น ในส่วนนี้ถือเป็นเรื่องที่ กกต.ได้แต่งตั้งและมอบหมายให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้นำคำวินิจฉัยในคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองของ กกต.จำนวน 29 ล้านบาทไปศึกษา

ส่วนถ้าศึกษาแล้วจะพบมูลความผิดจนสามารถยื่นฟ้องซ้ำใหม่ได้หรือไม่นั้น ตอนนี้เราเพียงให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวพิจารณาในแง่ของกฎหมายของคำวินิจฉัยว่าจะต้องชี้แจงต่อสังคมหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วก็อาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงต่อสังคมก็ได้ และขอยืนยันว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมานั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฟ้องซ้ำ รวมทั้งไม่ใช่เรื่องของนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องของกกต.ที่ได้ดำเนินการตรวจสอบ

“ตอนนี้ข่าวที่ออกมาถือว่าผิดไป เพราะระบุว่าการตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ขึ้นมาก็เพื่อพิจารณาในเรื่องของการยื่นฟ้องซ้ำในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ และล่าสุดได้มีผู้มายื่นคำร้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณายื่นฟ้องในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ใหม่อีกครั้ง ซึ่งส่วนนี้ถ้ามีการส่งเรื่องผ่านมาถึงนายทะเบียนพรรคการเมือง ผมก็ต้องวินิจฉัยต่อ โดยผมก็จะมอบหมายให้ที่ปรึกษาของนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ตอนนี้ได้แต่งตั้งไว้แล้ว 3 คน ทำหน้าที่พิจารณารายละเอียดในเบื้องต้นก่อน” นายอภิชาตกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองจะให้ความชัดเจนในเรื่องของที่มีผู้มายื่นฟ้องซ้ำในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เมื่อไร นายอภิชาตกล่าวว่า คงต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยส่วนตัวและคำนิจฉัยกลางในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทออกมาก่อน จึงจะสามารถให้ความชัดเจนในเรื่องนี้ได้