วอร์รูมวิปประชาธิปัตย์ย้ำ ก่อนยุบสภาต้องแก้รัฐธรรมนูญ และยุติความขัดแย้งสร้างความสมานฉันท์ เพื่อเดินไปสู่สนามเลือกตั้งอย่างปลอดภัย เผยวุฒิสภาเตรียมเปิดประชุมอภิปรายทั่วไปแก้ปัญหาบ้านเมือง 5 เมษายนนี้ ระบุหากฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุมก็อาจเสนอนายกฯ เปิดประชุมร่วมรัฐสภา เชื่อไำพร่แดงไม่ตระบัดสัตย์บุกสภา
นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานคณะกรรมการประงานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แถลงภายหลังการประชุมวอร์รูมวิปรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อประเมินสถานการณ์ หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะเจรจากับกับแกนำกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ว่า ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องว่า รัฐบาลได้กำหนดวิธีการถูกต้อง และเหมาะสม ซี่งเป็นความสง่างามของระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน มีโอกาสพบกับผู้นำรัฐบาลโดยตรง
ทั้งนี้ การหารือดังกล่าวทำให้อารมณ์ของประชาชนคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง และวิปรัฐบาลเห็นว่า แนวทางที่นายกรัฐมนตรี เสนอเป็นแนวทางเหมาะสม เพราะหากจะมีการยุบสภาจะต้องมีช่วงระยะเวลาหนึ่งในการแก้ไขปัญหา 2 ประการให้ลุล่วงไป ในระดับที่สามารถรับกันได้
สำหรับปัญหาที่ต้องแก้ไข 2 ประการ คือ 1.ปัญหารัฐธรรมนูญ ที่ทุกพรรคค้างคาใจ ว่า ควรจะกลับมาปัดฝุ่นแนวทางที่เคยตั้งไว้ กับคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นที่ยุติ และ 2.หากยุติแล้ว ทุกฝ่ายก็ควรถอยกลับที่ตั้ง เพื่อให้เกิดบรรยากาศความสมานฉันท์ และเตรียมความพร้อมว่าทุกคนจะเดินเข้าสนามเลือกตั้ง อย่างปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางแสวงหาทางออกให้บ้านเมือง และไม่ควรซ้ำรอยการเลือกตั้ง ปี 2548 ซึ่งสุดท้ายการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่สามารถยุติได้ และมีบทสรุป คือ การปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงไม่อยากเห็นการเลือกตั้งเพื่อรอการปฏิวัติใหม่ เพราะฉะนั้นสังคมควรจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งในการผ่านระยะเวลาเตรียมความพร้อม
นายวิทยากล่าวว่า ล่าสุดประธานวุฒิสภาก็ได้เสนอขอเปิดอภิปรายทั่วไป ในวันที่ 5 เม.ย. เพียงแต่รอคำตอบจากรัฐบาลว่า พร้อมหรือไม่ หากฝ่ายค้านอยู่นอกสภา ก็ต้องปล่อยให้วุฒิสภา ว่ากันไปฝ่ายเดียว แต่หากกลับมาทำงานร่วมกัน ก็อาจจะเสนอไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภา ส่วนการประชุมในวันที่ 1 เม.ย.เชื่อว่าคงไม่มีปัญหา เพราะเชื่อในคำมั่นของแกนนำคนเสื้อแดงจะไม่เคลื่อนไหวบุกเข้าไปในสภา แม้การเจรจากับนายกรัฐมนตรี ได้ผลออกมาอย่างไร และนำมาปราศรัยบนเวที ก็ต้องเชื่อ แต่ต้องรับผิดชอบในข้อเรียกร้อง
