“มาร์ค” เผย ครม.ขยาย พ.ร.บ.ความมั่นคงต่ออีก 7 วัน ปรับลดเหลือ กทม. นนทบุรี 2 อำเภอ ส่วน สมุทรปราการ มี 5 อำเภอ กำชับ รมต.เดินหน้าทำงาน พร้อมชี้แจงข้อกล่าวหากลุ่มเสื้อแดง ย้ำ ยังพร้อมเจรจาแต่ต้องวางกรอบให้ชัดก่อน ข่ม “จิ๋ว” พรรคร่วมยังเหนียวแน่น พูดเป็นนัยอีกไม่นานสถานการณ์จบ ย้นรัฐบาลทำตามกรอบ เตือนไพร่แดงอย่าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติขยายเวลาในการประกาศพื้นที่ความมั่นคง ซึ่ง ครม.ได้พิจารณาข้อเสนอที่ทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ได้สรุปสถานการณ์การบริหารในช่วงที่ผ่านมาและเห็นว่าสมควรที่จะขยายระยะเวลาของการประกาศพื้นที่ความมั่นคงออกไปอีก 7 วัน ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการพิจารณาปรับลดพื้นที่ที่มีการประกาศโดยจะคงเหลือกรุงเทพฯ จังหวัดนนทบุรี 2 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ปากเกร็ด อ.เมือง จังหวัดสมุทรปราการ 5 อำเภอ ประกอบด้วย อ.บางบ่อ อ.บางพลี อ.บางเสาธง อ.พระประแดง และ อ.เมือง ส่วนกรณีจังหวัดอื่นๆ ที่มีการประกาศไม่มีความจำเป็นต้อประกาศต่อไป อย่างไรก็ตาม เสร็จจากแถลงข่าวเสร็จตนจะไปทำหน้าที่ประธานการประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เพื่อจะได้ดำเนินการออกข้อกำหนดและขยายเวลาในเรื่องต่างๆ ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้มีการประเมินสถานการณ์ร่วมกันและได้กำชับ ว่า สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ต้องเดินหน้าในการทำงานบริหารราชการแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ปัญหาการชุมนุมมาเป็นอุปสรรคต่อผลที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกัน มีการพูดถึงความจำเป็นในการที่จะต้องชี้แจง เนื่องจากข้อกล่าวหาของกลุ่มผู้ชุมนุมเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงหรือหลายๆ ท่าน ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการในการชี้แจงอย่างต่อเนื่องต่อไป
ส่วนการบริหารเหตุการณ์สถานการณ์นั้น เห็นฟ้องต้องกันว่า จะให้มีการประชุมอย่างน้อย คือ มีตัวแทนจากทุกพรรคร่วมรัฐบาลมาประชุมกันเป็นระยะ ทั้งเรื่องการประเมินและการปรับแนวทางในการบริหารสถานการณ์หรือแม้แต่เรื่องการพูดคุยเจรจาที่จะเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินหรือไม่เราจะต้องประชุม ครม.นอกสถานทีไปอีกนานไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ประเมินกัน สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการประชุม ครม.และเราอยากจะประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่อยากให้การประชุมเป็นเงื่อนไขของการเผชิญหน้า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เราพยายามที่จะดำเนินการให้กับไปสู่ความเป็นปกติโดยลำดับ ส่วนการประชุมสภานั้น เราได้กำชับสมาชิกรัฐบาลต้องไปประชุมสภากัน เมื่อถามว่า การประชุมสภาเปราะบางเกินไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายสุเทพ ได้รายงานในแง่ของมาตรการและขอความร่วมมือในการที่จะอำนวยความสะดวกเพื่อให้การเข้าออกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งไดมีการชี้แจงกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการประชุม ครม.ครั้งนี้ ส่งสัญญาณในเชิงบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า ยังไม่ใช่เป็นการประชุมในภาวะปกติ แต่ถือเป็นการยืนยันถึงความตั้งใจในการที่จะทำงานแก้ไขปัญหาและวันนี้ต้องขอบคุณรัฐมนตรีทุกคนดูจะพร้อมเพียงและตรงเวลากว่าปกติที่ประชุมที่ทำเนียบด้วยซ้ำ
เมื่อถามว่า ที่ประชุม ครม.มีการหารือทางออกให้ประเทศอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการพูดในส่วนของฝ่ายรัฐบาลไม่มีข้อขัดข้องที่จะมีการเจรจา แต่ต้องมีความชัดเจนในกรอบของการเจรจา ซึ่งที่ผ่านมามีคนสองกลุ่มแล้วที่พยายามประสานงาน คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง ซึ่งทั้งสองกรณีรัฐบาลไม่ได้เป็นคนตั้งเงื่อนไขอะไรเลยและพร้อมที่จะดำเนินการ แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายขอยกเลิกทั้งสองกรณี แต่เราจะดูช่องทางเพิ่มเติมในการพูดคุยต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่แสดงความจริงใจโดยการยื่นทางออกของปัญหาให้ชัดเจน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่า ควรจะผ่านการพูดคุยกัน เพราะถ้ารัฐบาลไปประกาศว่า หนึ่ง สอง สาม เอาหรือไม่และผู้ชุมนุมก็บอกว่ายุบสภาอย่างอื่นไม่เอามันจะทำให้สถานการณ์ไม่เคลื่อนไปสู่การหาทางออกร่วมกัน ฉะนั้นตนได้บอกไปแล้วยินดีที่จะมาคุยกันในกรอบที่เกี่ยวข้องกับการยุบสภาฯหรือทางออกอื่นๆที่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การยุบสภาก็เป็นทางออกสากลที่ทั่วโลกเขาทำกัน ซึ่งก็ให้มีการลงสัตยาบันก่อนจะตัดสินใจดำเนินการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในวันเดียวกันก็มีหลายข้อเสนอ นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาพูดเป็นคนละเรื่อง พอเป็นอย่างนี้ก็ทำให้เราไม่มั่นใจว่าข้อเรียกร้องข้อหนึ่งข้อใดหากตอบสนองแล้วแปลว่าเรื่องจะจบ นั่นคือ ปัญหาที่หนึ่ง ปัญหาที่สอง คือ เรามีความกังวลเพาะทุกอย่างที่ผู้ชุมนุมบอกตกลงก็จะบอกต่อไปว่าถ้าไม่เป็นไปตามนี้ก็เป็นการกระทำของแดงเทียม ซึ่งมันต้องมีโอกาสมาพูดคุยกันก่อนว่าถ้ามีแดงเทียม หรือไม่เทียมก็แล้วแต่ เราจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร ไม่ใช่บอกว่าทำตามนี้ถือว่าเขาได้ทำตามข้อตกลงแล้ว ถ้าไม่เป็นไปตามข้อตกลงก็ไม่ใช่เขา เพราะมันไม่ใช่องค์กรที่มีสมาชิกที่ตายตัว ดังนั้นต้องมีกรอบที่จะมาคุยกันก่อนให้เรียบร้อย ซึ่งก็บอกไปตั้งแต่ต้นว่ายินดีที่จะพูดคุยในกรอบลักษณะนี้
เมื่อถามว่า ทำไมนายกรัฐมนตรีใช้ภาวะผู้นำหาทางออกของปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ ตนได้คุยกันทางพรรคร่วมรัฐบาลแล้วพร้อมที่จะคุยแต่การจะมาคุยต้องมีกติกาในการคุย เช่น ตนได้บอกไปแล้วว่าไม่เคยตั้งเงื่อนไขว่าต้องเลิกชุมนุมก่อนถึงจะคุย ก็บอกว่าชุมนุมได้ แต่พฤติกรรมของการชุมนุมซึ่งนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญต้องหยุด ซึ่งขณะนี้ก็ไม่ชัดเจนว่าจะหยุด
“หากจะมีการพูดคุยกันแล้วยื่นคำขาดเอาข้อเรียกร้องเลยเท่ากับไม่ได้มีการพูดคุยกัน ตนถึงบอกว่าถ้าตนไปเสนอว่าต้องอย่างนี้ อย่างนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการยื่นคำขาดระหว่างกันและกันในที่สุดก็จะไม่มีทางมาเจอกัน ฉะนั้น ข้อเสนอของเขาเรื่องการยุบสภาก็มาคุยกันเรื่องเงื่อนไขการยุบภาฯก็เท่านั้นหากพร้อมที่จะคุยตรงนี้ก็คุยได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ห่วงหรือไม่จะเกิดปัญหาในเมื่อการเจรจายังไม่เกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของผู้ชุมนุมที่จะชุมนุมในกรอบ แต่ถ้าชุมนุมนอกรอบก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและไม่ได้ช่วยให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะที่ปกติหรือนำไปสู่ความมั่นใจเรื่องการยุบสภา เพราะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการยุบสภาฯนี้อาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายยิ่งกว่า
ต่อข้อถามว่า สถานการณ์ที่ยังยืดเยื้ออาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ทั้งด้านเศรษฐกิจและอื่นๆ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถูกต้อง เป็นเรื่องที่เราพยายามหาทางออกอย่างต่อเนื่องและยืนยันว่าเราไม่ได้ไปตั้งข้อรังเกียจในกลุ่มต่างๆ ที่พยายามเป็นตัวเชื่อมและประเด็นที่จะคุยก็คุยได้ อยากจะคุยกันตนก็คุยได้ แต่ถ้าตั้งต้นข้นมาบอกว่าต้องหนึ่ง สอง สาม กำหนดฝ่ายตัวเอง อีกฝ่ายและกำหนดข้อยุติด้วยมันก็ไม่รู้จะคุยกันอย่างไร
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจะสามารถรักษาความมั่นใจลักษณะนั้นต่อไปได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจได้รับผลกระทบแน่นอน เช่น ตัวเลขการท่องเที่ยว ในตลาดจากเอเชียตรงนี้ชัดเจน ฉะนั้น เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ขณะเดียวกันเราต้องฟังฝ่ายต่างๆ ของสังคมด้วย ซึ่งอยากจะบอกว่ามีอีกหลายๆ กลุ่มในสังคม ซึ่งเขาได้ส่งเสียงผ่านช้องทางต่างๆ มาเหมือนกัน ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้ชุมนุมหรือเห็นตรงข้ามกับผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ ฉะนั้น การตัดสินใจของรัฐบาลต้องเป็นประโยชน์ของทุกฝ่ายจะยึดความต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้
ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย บอกว่า จะเดินสายพบพรรคร่วมรัฐบาลขอให้มีการยุบสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ที่จะไปคุยกับทางพรรคร่วม เมื่อถามว่าจะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลหวั่นไหวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องถามพรรคร่วมรัฐบาล แต่วันนี้จากการทำงานร่วมกันตอนเช้าก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันชัดเจนดี ไม่เห็นมีอะไรที่บ่งบอกว่ารัฐบาลไม่เป็นเอกภาพ เมื่อเช้าการทำงานก็เป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม ใครจะคุยกับใครก็ได้ทั้งนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีจะไปคุยกับกลุ่มเสื้อแดงด้วยตัวเองหรือจะส่งตัวแทนไป นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า โดยหลักถ้าจะคุยกับตนเรื่องเนื้อหาสาระก็ควรจะมีคนอื่นไปคุยก่อนในเรื่องของกรอบการพูดคุยกันเหมือนกับที่ทางฝ่ายผู้ชุมนุมที่ก่อนหน้านี้จะส่ง นพ.แหวง โตจิราการ มา แต่ตนเข้าใจว่าถ้ามีการพูดคุยกันจริงคงไม่ใช่ นพ.แหวง หรอกที่จะคุย หลักการทำงานส่วนใหญ่เป็นลักษณะนี้
“กรอบที่จะพูดคุยกันถ้าจะมีการยุบสภาควรจะมีการกำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งและนำไปสู่ความสงบจริงๆ”
ส่วนความเป็นไปได้ที่จะยุบสภาและลงสัตยาบันกันว่าจะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านระหว่างหาเสียง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาคงไม่ใช่เรื่องรูปแบบสัตยาบันหรอก ปัญหาคือ เป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร เมื่อถามว่า จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่นานก็จะจบ การกระทำใดๆ จะดำเนินการตามความจำเป็น แต่กลุ่มเสื้อแดงต้องทำอะไรที่อยู่ในกรอบด้วย