“ผ่าประเด็นร้อน”
บอกแล้วว่างานนี้มี “เดิมพันสูง” จึงต้องทุ่มเทกันสุดกำลัง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป้าหมายภายในที่ตัวเองต้องการให้ได้ ส่วนจะได้ผลประการใด หรือจบลงอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จะว่าไปแล้วการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในสังกัด ทักษิณ ชินวัตร เริ่มมาปักหลักอยู่ในใจกลางพระนครมาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าได้ก้าวมาถึงจุดสำคัญ เริ่มมีความตึงเครียดขึ้นมาทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่าย ทักษิณ ที่เป็นเจ้าของม็อบกับฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการสังเกตการชุมนุมผ่านมาจนถึงวันนี้ (17 มี.ค.) สิ่งที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นว่าจำนวนคนที่เข้าร่วม “หลุดเป้า” จากที่คุยโม้เอาไว้ว่าจะมากันเป็น “เรือนล้าน” แต่เท่าที่ประมาณหัวได้สูงสุดเพียงแค่ “หลักหมื่น” และนานไปยิ่งร่อยหรอลงเรื่อยๆ
ขนาด ทักษิณ ลงทุนปลุกระดมด้วยตัวเอง ทำทุกทางไม่ว่าจะเป็นวิดีโอลิงก์ โฟนอิน ทวิตเตอร์ ส่งข้อความสั้น ฯลฯ แต่มาได้แค่นี้ ถือว่าล้มเหลว ที่สำคัญขณะที่ตัวเองกำลังร้องบอกให้ชาวบ้านออกมาให้มากๆ สู้เข้าไป บุกเข้าไป อยู่นั้นกลับสั่งให้ ลูก-เมีย ญาติพี่น้องใกล้ชิดเผ่นหนีไปต่างประเทศเพื่อเอาตัวรอด ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมาตรการรับมือของฝ่ายรัฐบาลถือว่าเตรียมการได้พร้อมพอสมควร ใช้วิธี “อ่อนสยบแข็ง” อดทนต่อแรงยั่วยุ ไม่ยอมออกมาปะทะ เพียงแต่รักษาพื้นที่เอาไว้อย่างมั่นคง ประกอบการออกทีวีของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้แจงประชาชนได้อย่างมีเหตุผล จนสร้างความชอบธรรม อีกทั้งบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็มีการประเมินสถานการณ์แล้วยังเห็นว่าสมควรผนึกกำลังกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
ตรงกันข้ามกับฝ่ายทักษิณ ที่นับวันความชอบธรรมกลับลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุม นอกจากนี้ยังต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด จนทำให้มวลชนเกิดอาการอ่อนล้าลงไป และล่าสุดเมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้จำนวนคนลดเหลือแค่ 1-2 หมื่นคนเศษเท่านั้น
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เมื่อจำนวนคนยิ่งน้อย และการชุมนุมที่ประกาศว่ายึดวิธีสันติก็มีแนวโน้มไม่บรรลุผล ไม่สามารถกดดันให้ นายกฯยุบสภา ได้เป็นผลสำเร็จ ก็อาจได้เห็นสัญญาณความรุนแรงตามมา เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่าในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมาได้เริ่มรับทราบเหตุการณ์ที่น่าวิตกบางอย่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น การยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จำนวน 3-4 นัดทำให้มีทหารบาดเจ็บสองนาย เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงยกขบวนกดดันนายกฯที่ตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบแห่งชาติ (ศอ.รส.) อยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ถนนพหลโยธินพอดี
จากนั้นในวันถัดมากลางดึก ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าไปใกล้กับบ้านพักของ ประธานศาลปกครองสูงสุด อักขราทร จุฬารัตน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และก่อนหน้านั้นในวันที่ 11-12 มี.ค.ตำรวจก็ได้ทลายโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่วังน้อย และบางพลี สมุทรปราการ ยึดชิ้นส่วนอาวุธสงครามได้เป็นจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความหวาดวิตกให้กับสังคมเป็นอย่างมาก เพราะจากการวีดิโอลิงก์เข้ามาล่าสุดของ ทักษิณ ก็ได้ปลุกระดมให้ประชาชนไปชุมนุมที่หน้าศาลากลางทั่วประเทศ แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ความหมายก็คือให้ “ยึด” ศาลากลางและสถานที่ราชการสำคัญ
ที่น่าสนใจก็คือมีรายงานข่าวจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐที่อ้างว่าได้มาจากการ “ดักฟัง” โทรศัพท์ของทักษิณ ที่สั่งการให้ลูกน้อง “ฮาร์ดคอร์” ก่อวินาศกรรมในเมืองกรุง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อจลาจล เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการคือ นิรโทรกรรม ได้เงินที่ถูกยึดไปกลับคืนมา และได้กลับมามีอำนาจอีกรอบ
ข่าวการก่อวินาศกรรมดังกล่าวต่อมาได้รับการยืนยันจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและในฐานะ ผอ.ศอ.รส. อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอีกด้านหนึ่งอาจข้อโต้แย้งจากฝ่ายตรงข้ามว่านี่คือแผนใส่ร้ายเพื่อทำลายความชอบธรรมฝ่ายตรงกันข้ามก็อาจจะมองได้
แต่สิ่งที่ไม่มองข้ามไปได้เลยก็คือ ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าท่าทีของบรรดาประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ต่าง “แอ็กชัน” ล้ำหน้าผิดสังเกต เริ่มตั้งแต่เอกอัครทูตอังกฤษประจำประเทศไทยที่เดินทางไปเตือนห้ามใช้ความรุนแรงถึงพรรคเพื่อไทย ต่อมาก็มีผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศพร้อมเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำไทยเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบฯก่อนการชุมนุมไม่กี่ชั่วโมง และล่าสุดเมื่อมีการอ้างว่า ทักษิณ ไปพบลูกที่เยอรมันก็มีเสียงตอบโต้จากทูตเยอรมันย้ำว่า “ห้ามเข้า” มาตั้งแต่ปีที่แล้ว หากฝ่าฝืนก็จะถูกดำเนินคดี
สัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็สั่งให้ ทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศแล้ว จนต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ประเทศมอนเตเนโกร ประเทศเกิดใหม่เล็กๆ ในยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่กัมพูชาก็เริ่มมีท่าที่แปลกๆออกมาจาก “ฮุนเซน” ที่สั่งห้ามคนงานกัมพูชาเข้าร่วมม็อบแดง
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากบรรดาประเทศมหาอำนาจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทักษิณ ไม่ได้รับการสนับสนุน ซึ่งจะทำลายความชอบธรรมในการชุมนุมที่เชื่อว่าเขาอยู่เบื้องหลัง สั่งการให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ผนึกกำลังออกโรงพร้อมกันบอยขอตแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่มีที่ยืน และในที่สุดโอกาสไม่มีแผ่นดินอยู่เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ
แต่ขณะเดียวกัน เมื่อรูปการณ์ออกมาแบบนี้ก็ต้องย้ำว่าน่าเป็นห่วง เพราะอาจทำให้ “บางคน” เกิดอาการคลุ้มคลั่งทำอะไรที่ขาดสติได้ตลอดเวลา ทำนองเมื่อข้าไม่สมหวังเอ็งก็อย่าอยู่อย่างสงบกันอีกเลย ระวังจะออกมาในทำนองนี้ อย่ามองข้ามเป็นอันขาด!!