ตราด - ผู้การฯตราด ขอศาลออกหมายจับ 3 คนงานเขมร ฆ่าน้องสาวนายกเล็กเกาะช้าง เตือนผู้ประกอบการระวังแรงงานเถื่อน ขณะที่ผู้การฯทหาร เดินเข้าเกาะกง จับมือหัวหน้าทหารเกาะกงควาญหาตัว เชื่อ เร็วๆ นี้ รู้ผล
ความคืบหน้ากรณี 3 คนร้ายแรงงานชาวกัมพูชา ก่อเหตุฆาตกรรมแล้วปล้นทรัพย์น้องสาวนายก อบต.เกาะช้าง และจากแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากการรวบรวมพยานหลักฐานจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ทางเจ้าที่ทราบว่า คนร้ายทั้ง 3 ได้หลบหนีเข้าไปยัง จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
พล.ต.ต.ปิยะพล โมกขะวรรณะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง และเป็นการกระทำของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาที่โหดเหี้ยม ซึ่งทางตำรวจขอแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวังการรับคนงานต่างด้าวมาทำงาน เนื่องจากอาจจะมีปัญหาในเรื่องการชิงทรัพย์ และอันตรายต่อทรัพย์สินแล้ว แรงงานเหล่านี้อาจจะทำอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งทางตำรวจจะดำเนินการควบคุมปัญหานี้มากขึ้นพร้อมจะตรวจสอบประวัติให้เข้มงวดมากขึ้น
ขณะนี้การติดตามคนร้ายทั้ง 3 คนนั้นทาง หน.ตำรวจ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ได้รับการประสานจากตำรวจไทยในเรื่องคดีแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการติดตามคนร้ายชาวกัมพูชาอยู่ และในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 จะมีการประชุมร่วมกันระหว่าง ผวจ.ตราด และ ผวจ.เกาะกง ในเรื่องการทำบันทึกข้อตกลงบ้านพี่เมืองน้องที่ศาลากลาง จ.ตราด ซึ่งจะใช้โอกาสนี้มอบเอกสาร และหลักฐานของคนร้ายทั้ง 3 คน ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาะกงได้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีในประเทศไทย
จากการตรวจสอบพบว่า แรงงานต่างด้าวทั้ง 3 คน เป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง ไม่มีใบอนุญาตและเข้ามาทำงานกับผู้ตายในประเทศไทยนาน 2-3 ปีแล้ว โดยในวันเกิดเหตุผู้ตายอยู่คนเดียว และนำทรัพย์สินมีค่าเป็นเงินสด และทองรูปพรรณเก็บไว้ในตู้ ทำให้คนร้ายเกิดความโลภและตัดสินใจปล้นทรัพย์ ก่อนก่อเหตุสลดในที่สุด
จากการสอบสวนคนงานกัมพูชา พบว่า คนร้ายชาย 2 คน เป็นชาวเสียมราฐ ส่วนคนร้ายหญิง เป็นชาวเกาะกง ซึ่งทางตำรวจตราด ได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ก่อนจะมอบให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง ติดตามเป็นการภายใน เนื่องจากไทยและกัมพูชาไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเชื่อว่า จะสามารถติดตามมาดำเนินคดีได้
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบนเกาะช้างจากแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะชาวกัมพูชานั้น มีสถิติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นคดีที่โหดร้าย ซึ่งผู้ประกอบการไม่ควรไว้วางใจแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตจ้างงาน เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นคงจะไม่สามารถตรวจสอบ หรือติดตามมาดำเนินคดีได้
ความคืบหน้ากรณี 3 คนร้ายแรงงานชาวกัมพูชา ก่อเหตุฆาตกรรมแล้วปล้นทรัพย์น้องสาวนายก อบต.เกาะช้าง และจากแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากการรวบรวมพยานหลักฐานจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ทางเจ้าที่ทราบว่า คนร้ายทั้ง 3 ได้หลบหนีเข้าไปยัง จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
พล.ต.ต.ปิยะพล โมกขะวรรณะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง และเป็นการกระทำของแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาที่โหดเหี้ยม ซึ่งทางตำรวจขอแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้ระมัดระวังการรับคนงานต่างด้าวมาทำงาน เนื่องจากอาจจะมีปัญหาในเรื่องการชิงทรัพย์ และอันตรายต่อทรัพย์สินแล้ว แรงงานเหล่านี้อาจจะทำอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งทางตำรวจจะดำเนินการควบคุมปัญหานี้มากขึ้นพร้อมจะตรวจสอบประวัติให้เข้มงวดมากขึ้น
ขณะนี้การติดตามคนร้ายทั้ง 3 คนนั้นทาง หน.ตำรวจ จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา ได้รับการประสานจากตำรวจไทยในเรื่องคดีแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการติดตามคนร้ายชาวกัมพูชาอยู่ และในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 จะมีการประชุมร่วมกันระหว่าง ผวจ.ตราด และ ผวจ.เกาะกง ในเรื่องการทำบันทึกข้อตกลงบ้านพี่เมืองน้องที่ศาลากลาง จ.ตราด ซึ่งจะใช้โอกาสนี้มอบเอกสาร และหลักฐานของคนร้ายทั้ง 3 คน ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเกาะกงได้ติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีในประเทศไทย
จากการตรวจสอบพบว่า แรงงานต่างด้าวทั้ง 3 คน เป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง ไม่มีใบอนุญาตและเข้ามาทำงานกับผู้ตายในประเทศไทยนาน 2-3 ปีแล้ว โดยในวันเกิดเหตุผู้ตายอยู่คนเดียว และนำทรัพย์สินมีค่าเป็นเงินสด และทองรูปพรรณเก็บไว้ในตู้ ทำให้คนร้ายเกิดความโลภและตัดสินใจปล้นทรัพย์ ก่อนก่อเหตุสลดในที่สุด
จากการสอบสวนคนงานกัมพูชา พบว่า คนร้ายชาย 2 คน เป็นชาวเสียมราฐ ส่วนคนร้ายหญิง เป็นชาวเกาะกง ซึ่งทางตำรวจตราด ได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ก่อนจะมอบให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง ติดตามเป็นการภายใน เนื่องจากไทยและกัมพูชาไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเชื่อว่า จะสามารถติดตามมาดำเนินคดีได้
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตราด กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบนเกาะช้างจากแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะชาวกัมพูชานั้น มีสถิติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นคดีที่โหดร้าย ซึ่งผู้ประกอบการไม่ควรไว้วางใจแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตจ้างงาน เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นคงจะไม่สามารถตรวจสอบ หรือติดตามมาดำเนินคดีได้
