อดีต ส.ส.ร.ฟันธงหวนใช้ รธน.40 บ้านเมืองก็ยังแตกแยก

สัมมนาแก้ รธน.อดีต ส.ส.ร.ฟันธงเชื่อหวนใช้ รธน.40 จะแก้ปัญหาความแตกแยกในบ้านเมืองไม่ได้ ด้าน ชทพ.จับมือ พท.ยันรธน 50 ต้นเหตุวิกฤตบ้านเมืองเป็นกับดักทำลายนักการเมือง ขณะที่ “ชุมพล” ส่งสัญญาณใกล้ยุบสภา ชี้บ้านเมืองไร้หนทางออกเหตุคนแก้ปัญหาได้ถือหางเลือกข้างแล้ว

วันนี้ (19 ก.พ.) ในการประชุมผู้บริหารพรรคการเมือง ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดขึ้นได้มีการสัมมนาในหัวข้อ “ข้อคิดเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่าเรื่องเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้น ตนปั้นกับมือมานานแล้ว มีการตกผลึกทั้งทางวิชาการและทางปฏิบัติ รัฐธรรมนูญ 50 เป็นฝีมือคณะปฏิวัติ ร่างขึ้นมาเพื่อจัดการคนๆเดียว เข่นฆ่าพรรคเดียว แต่ทำให้พรรคอื่นถูกลูกหลงยกเข่ง มีการสอดแทรกบทบัญญัติเพื่อเอาประโยชน์ให้คนยกร่าง ทั้งการตั้งบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ทำให้ภาพพจน์องค์กรอิสระที่ออกมาขาดคุณธรรมจริยธรรม มี 2 มาตรฐาน ซึ่งวิกฤตทั้งหมดที่เกิดในปัจจุบันไม่ใช่วิกฤติของรัฐบาล แต่เป็นวิกฤตของคนที่อยู่เบื้องหลังจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่เป้าที่แท้จริง

“คนที่อยู่เบื้องหลังก็คือทหารมีทั้งในราชการ นอกราชการก็มี ตามที่คนเสื้อแดงบอก วันนี้วิกฤตการเมืองคนที่มีอำนาจแก้ได้มีแค่คนเดียว จึงอยากเรียกร้องให้มีคนอย่างหม่อมคึกฤทธิ์ (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) เพราะพูดแล้วมีคนฟัง ไม่งั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะคนที่จะแก้ปัญหาได้วันนี้ก็กลับถือหางข้างใดข้างหนึ่ง” นายชุมพลกล่าว และว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นวันนี้แก้ไม่ได้ด้วยรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นที่ต้องเริ่มด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีเวลาแล้วเนื่องจากใกล้ยุบสภา

ขณะที่ นายถวิล ไพรสณฑ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนไม่ติดใจรัฐธรมนูญ จะออกมาอย่างไรรับได้ทั้งนั้น เพราะเป็นนักการเมืองเขาไม่ให้เรามีส่วนร่วมในการแก้ไข แต่ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 50 ผู้ร่างไปใส่เรื่องนโยบายมากไปจนรัฐบาลไม่เป็นอิสระในการบริหาร จนไม่สามารถทำตามที่หาเสียงกับประชาชนได้ อย่างไรก็ตาม คิดว่าสิ่งที่น่าจะมีการบัญญัติก็คือองค์กรอิสระและการทำหน้าที่ที่ควรเป็นไปตามเจตนารมณ์ ในการทำอย่างไรให้คนเข้ามาสู่การเมืองอย่างบริสุทธิ์ กรรมการองค์กรอิสระทำงานอย่างสุจริต ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องนโยบาย

“ผมเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาแก้ เพราะยังมีเรื่องอื่นอีกตั้งแยะ ไม่ใช่ปุบปับแก้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีระบบเสียก่อน ไม่ใช่จู่ๆ จะมาแก้ หลายพรรคคิดที่จะแก้หลายประเด็น แต่สุดท้ายก็เอาเฉพาะสองประเด็นที่เสนอมา ซึ่งแก้แล้วก็ไม่คิดว่าจะทำให้ปัญหาบ้านเมืองคลี่คลายได้”

ด้าน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ติดใจเรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ แต่สำคัญที่เนื่อหา รวมถึงการแก้มีธงหรือไม่ ซึ่งเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 50 เป็นต้นเหตุความแตกแยกของคนในชาติ เพราะมีการบรรจุความไม่ชอบธรรมไว้มากมาย อาทิ มาตรา 309 ที่ให้คณะปฏิวัติทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกพวกถึงไม่ผิดก็ต้องผิด อย่างนายสมัครถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะทำกับข้าว นอกจากนี้ รธน.ยังเขียนกับดักไว้ทำลายการเมืองเพราะ เป็นฉบับเดียวที่เขียนห้าม ส.ส.ไปแก้ความเดือดร้อนให้ประชาชน ในมาตรา 266 โดยระบุว่าเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการ ทำให้วันนี้ ส.ส.ต้องแอบช่วยชาวบ้าน โดยที่ไม่กล้าเซ็นเรื่องขอรับการสนับสนุนไปยังส่วนราชการต่างๆ เพราะเหมือนกับเซ็นเพื่อให้ตนเองติดคุก

ขณะที่ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีต ส.ส.ร. กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีข้อดีข้อเสีย ไม่เฉพาะ 50 เท่านั้น ที่มีข้อเสีย รัฐธรรมนูญ. 40 หากเอามาวิเคราะห์ก็มีข้อเสียเช่นกัน อาทิ นักการเมืองก็ไม่ชอบรัฐธรรมนูญ.40 ที่ห้าม ส.ส. เป็น รมต. นอกจากนี้ รธน.40 ก็ยังล้มเหลวเรื่องการตรวจสอบนักการเมือง ขณะที่รัฐธรรมนูญ 50 ก็มีข้อบกพร่อง เช่น การต่ออายุผู้พิพากษาเป็น 70 ปี

นอกจากนี้ เห็นว่าเนื้อหารัฐธรรมนูญจะเป็นการไปตามสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น อย่างกรณีมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ 50 ถ้าย้อนกลับไปดูรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหารในอดีตที่ผ่านมาก็จะพบว่ามการเขียนในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งไม่ใช่การคุ้มครองผู้ทำรัฐประหาร แต่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อ

“คนมักคิดว่ารัฐธรรมนูญ 50 ก่อให้เกิดความแตกแยก แต่ความแตกแยกนั้นเกิดก่อน 19 ก.ย. 2549 แล้ว หากเอารัฐธรรมนูญ 40 มาใช้ ก็คิดว่าแก้ปัญหาความขัดแย้งในขณะนี้ไม่ได้ สีเสื้อต่างๆ ก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่แก้ววิเศษที่แก้ปัญหาได้ จึงเห็นว่าการจะแก้รัฐธรรมนูญนั้นสิ่งที่ควรดูคือว่า ถึงเวลาที่ควรแก้แล้วหรือยัง แก้แล้วเนื้อหาจะดีขึ้นกว่าเดิมไหม ผมในฐานะคนร่างไม่ติดใจการแก้ แต่คิดว่าที่จะแก้เรื่องระบบเลือกตั้งและมาตรา 190 แก้แล้วก็ไม่ทำให้เกิดสมานฉันท์ได้ ซึ่งส่วนตัวถ้าให้เทียบรัฐธรรมนูญฉบับ 40 กับ 50 ผมชอบ 40 มากกว่า แต่ผมเชื่อว่าถึงเอาใช้บนสถานการณ์ปัจจุบันก็แก้ปัญหาไม่ได้ จะแก้ได้ต้องเอาสองฉบับมารวมกัน”