ดังนั้นหากพิจารณาความเคลื่อนไหวมาจนถึงขณะนี้ ทักษิณ คงเชื่อว่าคงไม่สามารถล้มรัฐบาลลงได้ด้วยการชุมนุมตามปกติ เนื่องจากไม่สามารถเรียกมวลชนได้จำนวนมหาศาล แต่วิธีเดียวที่น่าวิตกก็คือการสร้างความรุนแรง เพื่อบีบให้เจรจา ซึ่ง พล.อ.เปรม ก็คือ “ตัวเชื่อม” ที่จะบีบให้ลงมาเจรจา ซึ่งเป็นแผนที่อำมหิตนัก
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะเห็นความเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ของทักษิณ ชินวัตร กำลังรุกไล่ถล่ม “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างหนักหน่วงมากขึ้นทุกวัน ล่าสุดได้ขุดเอาประเด็นรับเช็คมาตั้งแต่สมัยปี 2545-46 ขึ้นมาไล่ถล่มอย่างเมามัน รวมไปถึงประเด็นการ “ส่งส่วย” จากผู้บัญชาการทหารบก สุดแล้วแต่จะสรรหาถ้อยคำมาแต่งเติมให้น่าสนใจ
ส่วนข้อเท็จจริงจะมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน และน่าสนใจเพียงใด เชื่อว่า พล.อ.เปรม ก็มีสิทธิ์ที่จะชี้แจงและสามารถใช้สิทธิ์ทางกฎหายฟ้องร้องดำเนินคดีกับพวก “หัวขวด” ได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว หรือจะใช้วิธีนิ่งเงียบโดยเปรียบเหมือนตัวเองเป็น “ภูเขาทอง” หมา “เยี่ยวรด” ไม่สะเทือนก็สุดแล้วแต่
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือในภาพรวมก็ต้องเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของเครือข่ายทักษิณ ไม่ว่าจะในแนวรบด้านไหน ทั้งในและนอกสภารวมไปถึงพันธมิตรนอกประเทศด้านตะวันออกอย่าง “ฮุนเซน” ล้วนแล้วแต่ต้องยอมรับว่า “ไม่เวิร์ก” ไม่สามารถเรียกหาแนวร่วมเพิ่มเติมให้ขยายออกไปได้เลย เท่าที่เห็นก็มีแต่พวกหน้าเดิม หรือพวก “ฮาร์ดคอร์” หน้าตาแต่ละคนล้วนไม่น่าไว้วางใจหรือไม่ควรคบหาร่วมหัวจมท้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว
ไม่เชื่อลองสอบถามความรู้สึกของชาวบ้าน บรรดานักธุรกิจนักลงทุนก็ได้ว่าพวกเขามีความรู้สึกต่อคนพวกนี้อย่างไร เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว สินค้าการเกษตรหลักๆล้วนราคาดี เช่น ข้าวราคาเกวียนละเท่าไหร่ ยางพารากิโลกรัมละเกือบร้อยบาทเข้าไปแล้ว ทุกอย่างกำลังเดินไปข้างหน้า แล้วใครจะมัวบ้าทวงสมบัติให้กับ “เศรษฐีขี้โกง” อย่าง ทักษิณ เพราะถ้าลองตั้งคำถามว่าสมมุติว่าเขาได้เงิน 76,000 ล้านบาทคืนมาแล้วมันจะเอามาแบ่งให้กับคนที่ตากแดดตากฝนต่อสู้ให้หรือเปล่า อาจจะยกเว้นให้สำหรับพวก “แดงสู้แล้วรวย” ที่อาจโยนเศษเงินลงมาบ้าง
เวลานี้สังคมส่วนใหญ่จึงไม่เอาด้วย ยิ่งเสื้อแดงชุมนุมก่อกวนเป็นรายวันมันก็ยิ่งติดลบ นี่เห็นบอกว่าในวันนี้(19 ก.พ.) จะไปชุมนุมที่สำนักงานใหญ่ที่ธนาคารกรุงเทพ ย่านสีลมอีก ดีไม่ดีอาจจะเจอชาวบ้านแถวนั้นรุมด่ากันเปิดเปิงก็เป็นได้ บางครั้งถ้าไม่รู้จักความพอดี ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่น และยิ่งเป็นการต่อสู้เพื่อคนเพียงคนเดียว เมื่อถึงเวลาหนึ่งชาวบ้านก็อาจจะทนไม่ได้ นี่ยังไม่ได้รวมไปถึงคนกรุงเทพฯทั่วไปที่มักหงุดหงิดกับเรื่องรถติดกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่
วกกลับมาที่ พล.อ.เปรม เวลานี้กำลังตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะต้องยอมรับว่าสถานะของ พล.อ.เปรม เป็นองคมนตรี เปรียบเหมือน “ประธานที่ปรึกษา” ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดก็อาจมองได้ทันทีว่ามีเจตนากระทบชิ่ง หรือมีเจตนาส่งสัญญาณถึงใครกันแน่
แม้ว่าสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง และเกมในสภาของพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงพันธมิตรด้านชายแดนตะวันออกอย่าง “ฮุนเซน” ที่ได้ระบุไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ไม่เข้าเป้า” ไม่สามารถสร้างกระแสมวลชนอันไพศาลหรือ “แดงเป็นล้าน” ได้อย่างที่หวังหรือตามที่ได้รับข้อมูลแบบแหกตา แต่สิ่งที่ต้องไม่ประมาทก็คือ “แดงเป็นหมื่น” หรือแดงเป็นพันนี่แหละน่ากลัว ยิ่งแตกก็ยิ่งน่ากลัว เพราะเมื่อคุมกันไม่อยู่ก็จะเกิดสถานการณ์จลาจลได้ทุกเมื่อยิ่งเมื่อประเมินสถานการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้หลายคนมั่นใจว่ามีเจตนายั่วยุให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน ซึ่งน่าจับตาก็คือจำลองเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ประกอบกับที่ผ่านมาก็มีการโหมใช้แผน “ปัดความรับผิดชอบล่วงหน้า” นั่นหมายความว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นฝ่ายตนเองไม่ได้ทำ แต่เป็นฝีมือของ “แดงเทียม” หรือมือที่สามหน้าตาเฉย
ดังนั้นหากพิจารณาความเคลื่อนไหวมาจนถึงขณะนี้ ทักษิณ คงเชื่อว่าคงไม่สามารถล้มรัฐบาลลงได้ด้วยการชุมนุมตามปกติ เนื่องจากไม่สามารถเรียกมวลชนได้จำนวนมหาศาล แต่วิธีเดียวที่น่าวิตกก็คือการสร้างความรุนแรง เพื่อบีบให้เจรจา ซึ่ง พล.อ.เปรม ก็คือ “ตัวเชื่อม” ที่จะบีบให้ลงมาเจรจา ซึ่งเป็นแผนที่อำมหิตนัก !!