ประชุมวุฒิสภาเตรียมร่างพิจารณาข้อบังคับประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมแนะรัฐบาลควรใช้สื่อของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างความสมานฉันท์
การประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญทั่วไปในวันนี้ (8 ก.พ.) จะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น. โดยมีวาระที่น่าสนใจในการพิจารณาร่างข้อบังคับเกี่ยวกับประมวลจริยธรรมของสมาชิกผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการ รวมทั้งรายงานการพิจารณาศึกษาและปัญหาอุปสรรค ในการบังคับใช้มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ รายงานการพิจารณาศึกษากรณีเหตุการณ์ทำร้ายกลุ่มประชาชน ผู้ชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ จ.อุดรธานี และรายงานการพิจารณาศึกษาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กรณีศึกษาการสลายการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งทางคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ยังมีกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเรื่องที่สนใจในเรื่องขอรับทราบแนวทางการปฏิบัติของรัฐบาล ต่อกรณีที่ ข้าราชการถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหา โดยนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา ตั้งกระทู้ถามเรื่องปัญหาการเล่นพนันของคนไทย และการเข้าไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน โดย พ.ต.อ.พายัพ ทองชื่น ส.ว.สรรหา
ด้าน นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาและประธานในการประชุม ได้อนุญาตให้สมาชิกหารือ โดย ส.ว.ได้เสนอแนะรัฐบาลในการสร้างความสมานฉันท์ว่าควรใช้สื่อของรัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญควรยกเลิกบางรายการที่นำเสนอทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT เพราะบางรายการที่มีเนื้อหายั่วยุให้เกิดความแตกแยกในสังคม
จากนั้นจึงเข้าสู่วาระการประชุม โดยเป็นการพิจารณาวาระรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 ของวุฒิสภา และรับทราบรายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยปี 2547-2550 และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2551 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ทั้งนี้ ส.ว.บางส่วน เห็นว่า รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีความน่าสนใจหลายเรื่องเป็นประโยชน์อย่างมาก เช่น การนำเสนอผลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี 2540 เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 รายงานเรื่องกระบวนการยุติธรรมของไทย รายงานเรื่องปัญหาที่ดินทำกิน และเรื่องการทำเขตการค้าเสรี ซึ่งเห็นว่า หากรัฐบาลนำไปปรับใช้ในการกำหนดทิศทางการแก้ปัญหาของประเทศก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ขณะที่บรรยากาศบริเวณรัฐสภายังคงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามปกติจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ และจะมีการตรวจสัมภาระของผู้ที่เดินทางเข้าออกทุกคน