“เทพไท” หวั่นเสื้อแดงกัดกัน สุดท้ายจะโยนขี้ให้รัฐ ชี้แค่หมาแย่งกระดูก แนะ “ทักษิณ” แจกให้เพียงพอจะหยุดเห่าเอง ขอบคุณ “จตุพล่าม” แฉเองฮาร์ดคอร์แดงถ่อยรุมสกรัมรถนายกฯ “นพ.บุรณัชย์” จี้รัฐฟัน “เสธ.แดง” ขู่ใช้กองกำลังพังรัฐยิ่งกว่าสงกรานต์เลือด ปูดแก๊งปล่อยข่าวอัปมงคลจ่อก่อกระแสทุบหุ้นอีกรอบ เชื่อข่าว “บรรหาร” กล่อมเพื่อไทยไม่กระทบเสถียรภาพรัฐ ตบปาก “วัชระ” กล่าวหาประชาธิปัตย์มีหลายเมีย
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความขัดแย้งในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงที่มีการเปิดวิวาทะอย่างรุนแรงว่า ตนกังวลว่าหากยังเกิดความขัดแย้งอยู่และขยายตัวไปเรื่อยอาจจะมีการซัดกันเองระหว่างคนเสื้อแดงแต่ละกลุ่ม และสุดท้ายก็จะโยนความผิดมาให้รัฐบาล ซึ่งในขณะนี้ความขัดแย้งเริ่มปริแตกโดยทฤษฎีแก้ว 3 ประการ คือ 1.พรรคเพื่อไทย 2.มวลชนคนเสื้อแดง 3.กองกำลังติดอาวุธ ที่ปริร้าวอย่างละเอียดไม่มีชิ้นดี ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวอ้างมาจากแนวคิดของเหมา เจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เคยนำมาใช้ในอดีตและล่มสลายไปในที่สุด
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถ้าดูจากท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นเจ้าของม็อบตัวจริงได้แสดงออกผ่านทวิตเตอร์โดยระบุว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความเครียดของแกนนำ และเป็นธรรมดาของการเคลื่อนไหว เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเองยังมั่นใจว่าจะสามารถคุมเกมความขัดแย้งในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงได้ เพราะปัจจัยความเคลื่อนไหวทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้แจกจ่ายปัจจัยให้ แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแนวความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการแนวร่วมทุกเครือข่ายโดยต้องการปริมาณ ไม่มุ่งเน้นที่คุณภาพ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นช่วงชิงการนำมวลชนคนเสื้อแดงขึ้น
“ขณะนี้ทักษิณกำลังทำตัวเหมือนเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสุนัข โดยไปเก็บสุนัขจรจัดตามสถานที่ต่างๆ มาเลี้ยงรวมกันในคอกเดียวกัน และให้อาหารไปเพียงวันๆ เมื่อโยนกระดูกเพียงชิ้นเดียว ก็เป็นธรรมดาของพฤติกรรมสุนัขที่ต้องแย่งชิงและกัดกัน ถ้าหากเจ้าของฟาร์มสุนัขโยนเศษกระดูกให้หลายอันอย่างทั่วถึง เสียงเห่าหอนก็จะเงียบลงไปเอง” นายเทพไทกล่าว
นายเทพไทกล่าวต่อว่า จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ความเป็นจริงหลังฉากของแกนนำคนเสื้อแดงเปิดเผยต่อสังคม เพราะมีการยอมรับจากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำ นปช.ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยา จ.ชลบุรี หรือเหตุการณ์รุมทำร้ายคณะของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์เลือด ล้วนเป็นฝีมือของฮาร์ดคอร์เสื้อแดงจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บรรดาแกนนำได้ออกมาปฏิเสธว่าเป็นการสร้างสถานการณ์และโยนให้รัฐบาล แต่เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น ความจริงก็ปรากฏ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม และต้องขอบคุณที่ทำให้ความจริงปรากฏขึ้น
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ส่วนกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมายืนยันการใช้กำลังในการต่อสู้นั้น พรรคประชาธิปัตย์ขอให้รัฐบาลดำเนินการโดยด่วน เพราะการยืนยันว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องไม่แพ้เหมือนเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แสดงชัดเจนว่าการเตรียมการในช่วงเดือน ก.พ.นี้ จะทำเช่นเดียวกับเดือน เม.ย. คือการยุให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย การก่อการจลาจลในพื้นที่ต่างๆ และมีการระบุชัดว่าจะเข้าแทรกแซงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ โดยการตัดการส่งกำลังบำรุง ถือเป็นยุทธวิธีของทหาร ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า จึงขอให้รัฐบาลดำเนินการต่อบุคคลนี้ที่แสดงพฤติกรรมและเจตนาที่จะก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง และขัดต่อกฎหมายมาโดยตลอด
นพ.บุรณัชย์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้ทราบข่าวว่ามีการเตรียมปล่อยข่าวในตลาดหุ้น โดยอิงถึงเรื่องการเตรียมการปฏิวัติ และคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อทุบหุ้นให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน และหวังผลกำไรจากการปล่อยข่าว โดยมีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มบุคคลที่ปล่อยข่าวที่ไม่เป็นมงคลก่อนหน้านี้ด้วย จึงอยากบอกไปถึงประชาชนว่าไม่มีใครสามารถล่วงรู้หรือชี้นำการตัดสินใจของคณะผู้พิพากษาได้
นอกจากนี้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เดินสายพบกับแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า ข่าวดังกล่าวไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์รู้สึกคลางแคลงใจ เพราะพรรคมั่นใจในความตั้งใจของพรรคร่วมรัฐบาลในการเดินหน้าแก้ปัญหาให้แก่ประเทศ และที่ผ่านมาก็เห็นแต่ข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ขอเข้าพบพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งไม่เกิดผลกระทบอะไร เพราะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องของรัฐสภา ส่วนที่นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา เปรียบพรรคประชาธิปัตย์มีภรรยาหลายคนนั้น ถือเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม ตนอยากให้นายวัชระทบทวนคำพูด เพราะกระทบต่อความรู้สึก จริยธรรม และค่านิยมอันดีของสังคมที่เน้นในเรื่องความรักเดียวใจเดียว