“โฆษกมาร์ค” เตือนหน่วยงานด้านมั่นคง อย่าใส่เกียร์ว่างยุทธศาสตร์ 3 ประสานโค่นรัฐบาล เชื่อเข้าข่ายฐานกบฏ ชี้ “แม้ว” เพ้อเจ้อจนขาดสติ จวกที่ปรึกษากฎหมายไม่เตือน นายใหญ่ปล่อยโง่ฟ้องศาลโลกคดียึดทรัพย์ สอนมวยทำการบ้านให้ดีก่อนปูดข่าวโคมลอย เหน็บ “เสธ.แดง” หมาผอมเจอขี้แห้ง
วันนี้ (31 ม.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้แดงว่า หลังจากที่ตนได้เปิดดูการถ่ายทอดสด การเปิดสถานีวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดงผ่านดีสเตชั่น ซึ่งน่าแปลกใจคือ ได้มีการประกาศการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศไทยในอดีต โดยมีการประกาศสงคราม 3 ประสาน 1.ใช้พรรคชี้นำ 2.ใช้มวลชนสนับสนุน และ3.ใช้กองกำลังติดอาวุธยึดอำนาจรัฐ โดยได้อธิบายว่า ขบวนการเสื้อแดงวันนี้ มีพรรคเพื่อไทยเป็นธงนำ มีมวลชนเสื้อแดงคอยสนับสนุน ตามยุทธศาสตร์แดงทั้งแผ่นดิน มีกองกำลังติดอาวุธของกองกำลังชุดทหารพราน ทั้งหมดตนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ขบวนการโค่นล้มรัฐบาล ด้วยการใช้แนวทางความรุนแรง
ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลไม่ควรชะล่าใจ ควรเข้าไปติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และศึกษาข้อกฎหมายด้วยว่า การประกาศในลักษณะดังกล่าว เข้าองค์ประกอบความผิดในข้อหากบฎหรือไม่ เพราะการล้มล้างรัฐบาลถือว่าเป็นความผิดฐานกบฎ และหากไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ก็จะมีขบวนการในลักษณะดังกล่าวไปปลุกระดม ขยายผลในต่างจังหวัดมากยิ่งขึ้น
นายเทพไทกล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทวิตเตอร์รายวันเพ้อเจ้อเหมือนคนไร้สติ และที่ระบุ 2 ประเด็น ในทวิตเตอร์ว่า ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย จะยึดถือแนวทางการต่อสู้แบบอหิงสา แบบมหาตมะคานธี จึงอยากถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า ความหมายคำว่าอหิงสาของ พ.ต.ท.ทักษิณคืออะไร การที่ยุยงให้คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองในวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา และการที่คนที่เสื้อแดงใช้อาวุธปืนยิงผู้บริสุทธิ์ที่ตลาดนางเลิ้ง และการที่พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าจะสู้ไม่ถอย ตายเป็นตาย และไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า หรือแม้ที่บอกว่าได้เสียงปืนนัดเดียวจะกลับมานำม็อบด้วยตัวเอง นั่นคือการต่อสู้แบบอหิงสาใช่หรือไม่ ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ ใช่วิธีการตามแนวทางมหาตมะคานธี แต่เป็นแนวทางการต่อสู้ “ทักษิณ ชินวัตร โมเดล”
ส่วนการที่ทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ระบุว่า ต้องการต่อสู้หาความยุติธรรม เมื่อพึ่งระบบยุติธรรมในประเทศไทยไม่ได้แล้ว จะไปฟ้องศาลโลก นายเทพไทกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในเรื่องดังกล่าวเหมือนคนไม่รู้กฎหมาย และก็ต้องตำหนิที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่พ.ต.ท.ทักษิณตั้งขึ้นมาหลายคน แต่ไม่ได้ให้คำปรึกษาในเรื่องดังกล่าว และ พ.ต.ท.ทักษิณคงจะไม่เข้าใจในเรื่องเขตอำนาจของศาลโลก ว่ามีขอบเขตในการตัดสินคดีความแค่ไหน ศาลโลกมีอำนาจตัดสินคดีความ 2 ประเด็น คือ 1.ตัดสินคดีความที่มีข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐ ที่รัฐนั้นเป็นสมาชิกกับยูเอ็น หรือยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และ2.มีหน้าที่วินิจฉัยตีความและให้คำปรึกษาข้อกฎหมาย แก่องค์กรระหว่างประเทศเท่านั้น
นายเทพไทกล่าวต่อว่า ส่วนคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคดีอาญาธรรมดาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ของนักการเมืองคนหนึ่งที่โกงชาติโกงแผ่นดิน ที่ถูกตัดสินด้วยศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีเงื่อนไขและช่องทางไปฟ้องร้องศาลโลกได้
ส่วนกรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ออกมาปูดข่าวเรื่องการรัฐประหาร ซึ่งตนคิดว่าข้อมูลที่ผ่านมาของนายประชาก็ขาดความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว และหลายครั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ก็ไม่มีข้อมูลความจริงแม้แต่ประเด็นเดียว แต่ไม่ต้องการให้สังคมสับสน ตนต้องทำการชี้แจงทั้งๆ ที่รู้ว่าไร้สาระก็ตาม คือ 1.การที่นายประชาระบุว่า รัฐบาลจะทำการรัฐประหารตัวเอง เหมือนกับสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งตนอยากชี้แจงว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ตลอด 63 ปี ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำประเทศอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้มีจุดยืนแนวทางประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ และไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะมาปฏิบัติตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจอยู่ต่อไป เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลพลเรือนไม่ใช่ทหาร
ส่วนการที่ระบุว่ามีผู้ใหญ่สั่งให้นายกรัฐมนตรี ปลดผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นการพูด หลังจากที่นายอภิสิทธิ์เข้าอวยพรปีใหม่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และพยายามสร้างเรื่องลักษณะจับแพะชนแกะ ยกเมฆปั้นเรื่องขึ้นมา และขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีจะไม่เข้าไปแทรกแซง โยกย้าย ในกองทัพอย่างเด็ดขาด ปล่อยให้เป็นไปตามเงื่อนไข กฎระเบียบของกองทัพ และจะไม่เข้าไปล้วงลูกเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เอาญาติของตัวเองมาข้ามหัวผู้อื่นตั้งขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. โดยปราศจากการยอมรับของคนในกองทัพ และคนเหล่านี้พยายามจะสร้างภาพว่า มีเงื่อนไขนำไปสู่การปฏิวัติได้ และการพยายามปั้นข่าวว่า รัฐบาลมีความขัดแย้งและล้มเหลว มาเป็นเงื่อนไข
ส่วนที่มีการพยายามยกข้อมูลว่ามี พล.อ.ชื่อย่อ ว. เตรียมทหารรุ่น 11 อายุ 54 ปี อีก 6 ปี จะเกษียณอายุ จะเป็นผู้คุมกำลังปฏิวัติ และจากการสอบถามและศึกษาในเรื่องดังกล่าว ในฐานะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) คนหนึ่ง และได้เรียนร่วมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพมา ซึ่งนายทหารรุ่น 11 ในขณะนี้มาอายุราชการเหลือเพียง 1-2 ปี อย่างมาก ซึ่งคนที่อายุ 54 ปี ก็เป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 14-16 และคนที่เป็นนายทหารอายุ 54 ยังไม่มีใครเป็นพล.อ.สักคน มียศอยู่ในระดับพล.ต.ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ตนคิดว่าเป็นการยกเมฆสร้างข่าวที่ไม่สมเหตุสมผล หากจะสร้างข่าวอีกเรื่องหนึ่ง ตนอยากแนะนำให้คนเหล่านี้กลับไปดูข้อมูลให้สมจริงสมจัง ที่จะให้สัมคมเชื่อถือว่า และยืนยันว่า ไม่เรื่องตามที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย พยายามจะกล่าวอ้างขึ้นมา
ด้าน นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ว่า สังคมและสื่อมวลชน ไม่ควรให้ความสำคัญกับเสธ.แดง เพราะชัดเจนว่าเสธ.แดงเป็นทหารเพี้ยนคนหนึ่งเท่านั้น และบังเอิญไปรับใช้ผู้ที่ต้องการคนที่มาสนันสนุน โดยนับจำนวนอย่างเดียวไม่เน้นคุณภาพ จึงได้เสธ.แดงเข้า หากเปรียบกับสุภาษิตได้ว่า “หมาผอม ไปเจอขี้แห้ง” ซึ่งหมายความว่า หมากำลังหิวไปเจอขี้แห้งก็เลยกิน ซึ่งที่จริงไม่มีคุณค่าทางอาหาร ไม่ได้แก้ความหิวอะไรได้ และเสธ.แดงก็ไม่ได้สร้างการสนับสนุนที่มีผลกระทบในด้านบวก เพราะไม่สามารถที่จะพูดคุยกับสังคมต่อสาธารณได้