รายงานการเมือง
โดยแสงตะวัน
มีคำยืนกรานอย่างหนักแน่นทั้งจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ว่าให้ประชาชนไปเที่ยวฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 กันให้เต็มที่
ไม่ต้องกังวลจะมีเหตุร้ายใดๆ โดยเฉพาะในช่วงวันเคาท์ดาวน์ 31 ธันวาคม 2552 เข้าวันปีใหม่ 1มกราคม 2553
เช่นเดียวกับท่าทีของฝ่ายดูแลรักษาความปลอดภัยและความมั่นคง ทั้งพลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 หรือ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผช.ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความมั่นใจจากการข่าว
ยังไม่น่าจะมีอะไรตูมตามในช่วงวันปีใหม่ และมีการป้องกันเหตุไว้อย่างดีแล้ว
แม้จะเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ดูแลสุขทุกข์ของประชาชนจะต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน ได้ฟังได้ยินความรับผิดชอบของทางการก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะคงไม่มีใครอยากไปเที่ยวปีใหม่ด้วยความหวาดผวาจะตกเป็น
เหยื่อ หรือโดนลูกหลง
ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพราะภาพเหตุการณ์บึ้มสนั่นกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธ.ค.49 ต่อเนื่องถึง 1 มกราคม 2550 หลายจุดทั่วกรุงเทพฯโดยเฉพาะป้ายรถเมล์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร และอีกหลายจุดยังหลอนคนไทยอยู่
ทั้งที่ตอนนั้นบ้านเมืองปกครองด้วยความเด็ดขาดจากฝ่ายทหาร-อดีตคมช.แต่ก็ยังเกิดเหตุร้ายแรงได้โดยที่ตำรวจ-ทหาร ไม่สามารถป้องกันและจับตัวคนร้ายได้
แถมที่สำคัญอุปกรณ์สำคัญที่จะนำไปสู่การสอบสวนคือ “กล้องวงจรปิด”ในจุดเกิดเหตุแต่ละแห่งก็ดันพร้อมใจกัน เสียโดยไม่ได้นัดหมาย!
ดังนั้น คำยืนยันจากอภิสิทธิ์และสุเทพ ที่ย้ำว่ารัฐบาลมีมาตรการในการป้องกันและดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดรัดกุมที่สุด ประชาชนอย่างพวกเราก็ยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะวันนี้ ขนาดตัวอภิสิทธิ์ ไปไหนมาไหนในจุดล่อแหลมยังต้องนั่งรถกันกระสุน ตำรวจรักษาความปลอดภัยพร้อมอาวุธครบทีม แล้วนับประสาอะไรกับประชาชนอย่างพวกเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนต้องป้องกันระวังภัยกันเอง
เพราะถึงขณะนี้ การข่าวที่ออกมาโดยเฉพาะออกมาจากการเปิดเผยของ “บิ๊กทีป”พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร. ที่แจ้งเตือนรัฐบาล-หน่วยข่าวความมั่นคงและกองทัพแต่เนิ่นๆ ให้ระวังสถานการณ์แทรกซ้อนการก่อเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่
ก็ทำให้หลายจุดซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง ต้องมีการเพิ่มกำลังป้องกันเป็นการเร่งด่วน ไล่ตั้งแต่ เมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ก็มีการสั่งการจากพล.ต.อ.ปทีป หลังเรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงทั้งหมดที่รับผิดชอบการดูแลพื้นที่กทม.ให้สั่งจับตาและเพิ่มกำลังตำรวจมากเป็นพิเศษในพื้นที่เสี่ยง 5 จุดคือ
ย่านสีลม, ย่านราชประสงค์, ซอยนานา, ถนนข้าวสาร และสวนลุมพินี
แต่ละจุดเห็นได้ชัดว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของคนไทย-ต่างชาติที่มาพักอาศัยและนิยมมารวมตัวนับถอยหลังปีเก่าต้อนรับปีใหม่เกือบทั้งสิ้น อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน
รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของประเทศเช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่เสี่ยง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องเข้มงวดในการป้องกันเช่นกัน
เหตุที่ครั้งนี้ ฝ่ายตำรวจตื่นตัวป้องกันเป็นพิเศษ คงเพราะรู้ดีว่า สถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ปกติ อาจมีสถานการณ์แทรกซ้อนเกิดขึ้นเพื่อก่อเหตุได้ทั้งสิ้น
เพราะไม่ใช่แค่ในฝ่ายการเมืองที่มีปัญหาขัดแย้งแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย จนพร้อมจะก่อเหตุเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล ทำลายความเชื่อถือของอภิสิทธิ์ทั้งในและต่างประเทศ และทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศเสียหายอย่างหนักอีกครั้ง โดยอาจมีเหยื่อคือคนไทยด้วยกันเองต้องรับเคราะห์
แต่ในกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลานี้ก็แบ่งเป็นกลุ่มก้อน สายใครสายมัน มีทหาร-ตำรวจ เสื้อแดง หรือหากไม่ใช่เสื้อแดงก็เกียร์ว่าง เพราะไม่ได้รับประโยชน์ในหน้าที่การงานและผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่จากการขึ้นมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทำให้เป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ เพื่อหวังผลทางการเมืองตามมา เพราะตัวพล.ต.อ.ปทีปเอง ก็ไม่ใช่ผบ.ตร.ตัวจริง เป็นแค่รักษาการ มีฝ่ายที่ไม่พอใจและอาจคิดต้องการให้ปทีปไปให้พ้นเส้นทางอำนาจ
เรื่องนี้ “ปทีป”เองก็รู้ ว่าการเมืองของจริงและการเมืองในสตช.เล่นกันแรง และพร้อมสัปปะยุทธ์กันได้ทุกรูปแบบ จึงต้องออกมาเตือนรัฐบาลให้ระวังเหตุร้าย จนถูกมองว่าออฟไซด์อภิสิทธิ์และสุเทพไปหนึ่งก้าว แต่ของแบบนี้ หากไม่มีการข่าวแจ้งเตือนให้ระวัง หรือพบสัญญาณอะไรบางอย่าง คงไม่มีใครกล้าออกมาพูดเตือนให้ตกใจกันเล่นๆ ทั้งประเทศ
พล.ต.อ.ปทีปอาจรู้การข่าวอะไรมาลึกๆ จนต้องเรียกประชุมติวเข้ม ผู้นำหน่วยในแต่ละกองบัญชาการรวมถึงตัวแทนของกองทัพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมาโดยมีการกางแผนที่เฝ้าระวังทั่วกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ
เพราะหากเกิดอะไรขึ้น คนแรกที่ต้องโดนจวก ก็คือ “ปทีป” ที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟ และกระโถนรองรับพายุอารมณ์ของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
ทำให้ “ปทีป” เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งรุกและรับ เพราะแค่กรุงเทพฯแห่งเดียวก็มีการจัดงานปีใหม่กันถึงเกือบ 50 จุด จึงย่อมมีโอกาสจะรอดหูรอดตาพลาดได้ ในการป้องกันเหตุ ส่งผลให้ต้องขอความร่วมมือกับกองทัพให้ส่งทหารมาร่วมสนธิกำลังป้องกันเหตุร้ายกับตำรวจ แต่ “ปทีป” คิดแล้วว่าคงไม่พอ เลยต้องขันน็อตออกกฎเหล็กว่าหากเกิดเหตุในพื้นที่ใด ย่อมถือว่าเป็นความบกพร่องในการป้องกันและสืบสวนหาข่าวของพื้นที่นั้น แค่นี้ก็ทำเอาหลายสถานีตำรวจแทบไม่อันหลับนอนกันแล้ว!
การจัดเตรียมกำลังและความพร้อมของทหาร-ตำรวจ ถือเป็นเรื่องดี และประชาชนก็ควรต้องมีส่วนร่วมในการป้องกันเหตุด้วยเช่นหากพบความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือพฤติการณ์ของบุคคลใดพกพาวัตถุต้องสงสัยอะไรก็ควรต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยทันที
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่เตรียมกำลังอย่างเช่นที่สน.ปทุมวัน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่จุดสำคัญหลายแห่งเช่น สยามพารากอน ใช้กำลังเพื่อการนี้ถึง 700 นาย ออกตรวจและหาข่าวตลอด 24 ชม.รวมถึงการสั่งรื้อถอนตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ติดตั้งในพื้นที่เซ็นทรัลเวิลด์และตัดต้นไม้ในบริเวณดังกล่าวให้เตียนโล่งเห็นส่วนที่เป็นพื้นดินเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำระเบิดมาซุกซ่อน อันเป็นการป้องกันเหตุที่ดี
แต่ทหาร ตำรวจ ต้องอย่ามองข้ามอุปกรณ์ใช้งานต่างๆ ให้ใช้งานได้ด้วยโดยเฉพาะ “กล้องวงจรปิด”ทั่วกรุงเทพฯ เพราะหากคนร้ายคิดก่อเหตุ โดยเฉพาะในจุดล่อแหลมจะต้องมีการวางแผนทำให้กล้องใช้งานไม่ได้เสียก่อน หากครั้งนี้มีเหตุอะไรขึ้นแล้วอ้างว่ากล้องวงจรปิดเสีย คงไม่มีใครฟังคำแก้ตัวอีกแล้ว
นอกจากนี้ ทั้งทหารและตำรวจ ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตั้งด่านตรวจ และเสาะหาข้อมูลเชิงลึกทุกด้าน ไม่ใช่แค่ความเคลื่อนไหวการเมืองเท่านั้น แต่อาจต้องหาข่าวความเคลื่อนไหวของพวกเดียวกันเองด้วยว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือไม่ เพราะเหตุแบบนี้หากไม่มี “คนมีสี”ร่วมมือด้วย ยากจะเกิดขึ้นได้
นับถอยหลังจากนี้ไปจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์-สุเทพ –อนุพงษ์ เท่านั้น ที่คงเที่ยวปีใหม่แบบไม่สนุกเท่าไหร่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้เกิดเหตุอะไรขึ้น แต่ตัว “บิ๊กทีป”เอง ก็ต้องอยู่ในสภาพ “เกร็งข้ามปี”
หากมีเสียงระเบิดตูมเมื่อใด เก้าอี้ผบ.ตร.ตัวจริง ที่กำลังรอลุ้นให้อภิสิทธิ์ชงชื่อเข้าที่ประชุมกตช.ต้นปีหน้า มีหวังกระเด็นไปตามเสียงตูมตามทันที! และ “นายกฯ”อภิสิทธิ์”ก็จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน
โดยแสงตะวัน
มีคำยืนกรานอย่างหนักแน่นทั้งจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ว่าให้ประชาชนไปเที่ยวฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 กันให้เต็มที่
ไม่ต้องกังวลจะมีเหตุร้ายใดๆ โดยเฉพาะในช่วงวันเคาท์ดาวน์ 31 ธันวาคม 2552 เข้าวันปีใหม่ 1มกราคม 2553
เช่นเดียวกับท่าทีของฝ่ายดูแลรักษาความปลอดภัยและความมั่นคง ทั้งพลโท คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 หรือ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผช.ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความมั่นใจจากการข่าว
ยังไม่น่าจะมีอะไรตูมตามในช่วงวันปีใหม่ และมีการป้องกันเหตุไว้อย่างดีแล้ว
แม้จะเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ดูแลสุขทุกข์ของประชาชนจะต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน ได้ฟังได้ยินความรับผิดชอบของทางการก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะคงไม่มีใครอยากไปเที่ยวปีใหม่ด้วยความหวาดผวาจะตกเป็น
เหยื่อ หรือโดนลูกหลง
ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพราะภาพเหตุการณ์บึ้มสนั่นกรุงเทพมหานครในวันที่ 31 ธ.ค.49 ต่อเนื่องถึง 1 มกราคม 2550 หลายจุดทั่วกรุงเทพฯโดยเฉพาะป้ายรถเมล์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร และอีกหลายจุดยังหลอนคนไทยอยู่
ทั้งที่ตอนนั้นบ้านเมืองปกครองด้วยความเด็ดขาดจากฝ่ายทหาร-อดีตคมช.แต่ก็ยังเกิดเหตุร้ายแรงได้โดยที่ตำรวจ-ทหาร ไม่สามารถป้องกันและจับตัวคนร้ายได้
แถมที่สำคัญอุปกรณ์สำคัญที่จะนำไปสู่การสอบสวนคือ “กล้องวงจรปิด”ในจุดเกิดเหตุแต่ละแห่งก็ดันพร้อมใจกัน เสียโดยไม่ได้นัดหมาย!
ดังนั้น คำยืนยันจากอภิสิทธิ์และสุเทพ ที่ย้ำว่ารัฐบาลมีมาตรการในการป้องกันและดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดรัดกุมที่สุด ประชาชนอย่างพวกเราก็ยังวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะวันนี้ ขนาดตัวอภิสิทธิ์ ไปไหนมาไหนในจุดล่อแหลมยังต้องนั่งรถกันกระสุน ตำรวจรักษาความปลอดภัยพร้อมอาวุธครบทีม แล้วนับประสาอะไรกับประชาชนอย่างพวกเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือ ทุกคนต้องป้องกันระวังภัยกันเอง
เพราะถึงขณะนี้ การข่าวที่ออกมาโดยเฉพาะออกมาจากการเปิดเผยของ “บิ๊กทีป”พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร. ที่แจ้งเตือนรัฐบาล-หน่วยข่าวความมั่นคงและกองทัพแต่เนิ่นๆ ให้ระวังสถานการณ์แทรกซ้อนการก่อเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่
ก็ทำให้หลายจุดซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง ต้องมีการเพิ่มกำลังป้องกันเป็นการเร่งด่วน ไล่ตั้งแต่ เมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ก็มีการสั่งการจากพล.ต.อ.ปทีป หลังเรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงทั้งหมดที่รับผิดชอบการดูแลพื้นที่กทม.ให้สั่งจับตาและเพิ่มกำลังตำรวจมากเป็นพิเศษในพื้นที่เสี่ยง 5 จุดคือ
ย่านสีลม, ย่านราชประสงค์, ซอยนานา, ถนนข้าวสาร และสวนลุมพินี
แต่ละจุดเห็นได้ชัดว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของคนไทย-ต่างชาติที่มาพักอาศัยและนิยมมารวมตัวนับถอยหลังปีเก่าต้อนรับปีใหม่เกือบทั้งสิ้น อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน
รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของประเทศเช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่เสี่ยง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ต้องเข้มงวดในการป้องกันเช่นกัน
เหตุที่ครั้งนี้ ฝ่ายตำรวจตื่นตัวป้องกันเป็นพิเศษ คงเพราะรู้ดีว่า สถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ไม่ปกติ อาจมีสถานการณ์แทรกซ้อนเกิดขึ้นเพื่อก่อเหตุได้ทั้งสิ้น
เพราะไม่ใช่แค่ในฝ่ายการเมืองที่มีปัญหาขัดแย้งแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย จนพร้อมจะก่อเหตุเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล ทำลายความเชื่อถือของอภิสิทธิ์ทั้งในและต่างประเทศ และทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศเสียหายอย่างหนักอีกครั้ง โดยอาจมีเหยื่อคือคนไทยด้วยกันเองต้องรับเคราะห์
แต่ในกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลานี้ก็แบ่งเป็นกลุ่มก้อน สายใครสายมัน มีทหาร-ตำรวจ เสื้อแดง หรือหากไม่ใช่เสื้อแดงก็เกียร์ว่าง เพราะไม่ได้รับประโยชน์ในหน้าที่การงานและผลประโยชน์ในตำแหน่งหน้าที่จากการขึ้นมาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทำให้เป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ เพื่อหวังผลทางการเมืองตามมา เพราะตัวพล.ต.อ.ปทีปเอง ก็ไม่ใช่ผบ.ตร.ตัวจริง เป็นแค่รักษาการ มีฝ่ายที่ไม่พอใจและอาจคิดต้องการให้ปทีปไปให้พ้นเส้นทางอำนาจ
เรื่องนี้ “ปทีป”เองก็รู้ ว่าการเมืองของจริงและการเมืองในสตช.เล่นกันแรง และพร้อมสัปปะยุทธ์กันได้ทุกรูปแบบ จึงต้องออกมาเตือนรัฐบาลให้ระวังเหตุร้าย จนถูกมองว่าออฟไซด์อภิสิทธิ์และสุเทพไปหนึ่งก้าว แต่ของแบบนี้ หากไม่มีการข่าวแจ้งเตือนให้ระวัง หรือพบสัญญาณอะไรบางอย่าง คงไม่มีใครกล้าออกมาพูดเตือนให้ตกใจกันเล่นๆ ทั้งประเทศ
พล.ต.อ.ปทีปอาจรู้การข่าวอะไรมาลึกๆ จนต้องเรียกประชุมติวเข้ม ผู้นำหน่วยในแต่ละกองบัญชาการรวมถึงตัวแทนของกองทัพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมาโดยมีการกางแผนที่เฝ้าระวังทั่วกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ
เพราะหากเกิดอะไรขึ้น คนแรกที่ต้องโดนจวก ก็คือ “ปทีป” ที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟ และกระโถนรองรับพายุอารมณ์ของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
ทำให้ “ปทีป” เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งรุกและรับ เพราะแค่กรุงเทพฯแห่งเดียวก็มีการจัดงานปีใหม่กันถึงเกือบ 50 จุด จึงย่อมมีโอกาสจะรอดหูรอดตาพลาดได้ ในการป้องกันเหตุ ส่งผลให้ต้องขอความร่วมมือกับกองทัพให้ส่งทหารมาร่วมสนธิกำลังป้องกันเหตุร้ายกับตำรวจ แต่ “ปทีป” คิดแล้วว่าคงไม่พอ เลยต้องขันน็อตออกกฎเหล็กว่าหากเกิดเหตุในพื้นที่ใด ย่อมถือว่าเป็นความบกพร่องในการป้องกันและสืบสวนหาข่าวของพื้นที่นั้น แค่นี้ก็ทำเอาหลายสถานีตำรวจแทบไม่อันหลับนอนกันแล้ว!
การจัดเตรียมกำลังและความพร้อมของทหาร-ตำรวจ ถือเป็นเรื่องดี และประชาชนก็ควรต้องมีส่วนร่วมในการป้องกันเหตุด้วยเช่นหากพบความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือพฤติการณ์ของบุคคลใดพกพาวัตถุต้องสงสัยอะไรก็ควรต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยทันที
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่เตรียมกำลังอย่างเช่นที่สน.ปทุมวัน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่จุดสำคัญหลายแห่งเช่น สยามพารากอน ใช้กำลังเพื่อการนี้ถึง 700 นาย ออกตรวจและหาข่าวตลอด 24 ชม.รวมถึงการสั่งรื้อถอนตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ติดตั้งในพื้นที่เซ็นทรัลเวิลด์และตัดต้นไม้ในบริเวณดังกล่าวให้เตียนโล่งเห็นส่วนที่เป็นพื้นดินเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำระเบิดมาซุกซ่อน อันเป็นการป้องกันเหตุที่ดี
แต่ทหาร ตำรวจ ต้องอย่ามองข้ามอุปกรณ์ใช้งานต่างๆ ให้ใช้งานได้ด้วยโดยเฉพาะ “กล้องวงจรปิด”ทั่วกรุงเทพฯ เพราะหากคนร้ายคิดก่อเหตุ โดยเฉพาะในจุดล่อแหลมจะต้องมีการวางแผนทำให้กล้องใช้งานไม่ได้เสียก่อน หากครั้งนี้มีเหตุอะไรขึ้นแล้วอ้างว่ากล้องวงจรปิดเสีย คงไม่มีใครฟังคำแก้ตัวอีกแล้ว
นอกจากนี้ ทั้งทหารและตำรวจ ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตั้งด่านตรวจ และเสาะหาข้อมูลเชิงลึกทุกด้าน ไม่ใช่แค่ความเคลื่อนไหวการเมืองเท่านั้น แต่อาจต้องหาข่าวความเคลื่อนไหวของพวกเดียวกันเองด้วยว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือไม่ เพราะเหตุแบบนี้หากไม่มี “คนมีสี”ร่วมมือด้วย ยากจะเกิดขึ้นได้
นับถอยหลังจากนี้ไปจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์-สุเทพ –อนุพงษ์ เท่านั้น ที่คงเที่ยวปีใหม่แบบไม่สนุกเท่าไหร่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้เกิดเหตุอะไรขึ้น แต่ตัว “บิ๊กทีป”เอง ก็ต้องอยู่ในสภาพ “เกร็งข้ามปี”
หากมีเสียงระเบิดตูมเมื่อใด เก้าอี้ผบ.ตร.ตัวจริง ที่กำลังรอลุ้นให้อภิสิทธิ์ชงชื่อเข้าที่ประชุมกตช.ต้นปีหน้า มีหวังกระเด็นไปตามเสียงตูมตามทันที! และ “นายกฯ”อภิสิทธิ์”ก็จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน