ประธานวุฒิสภา ให้เกรด B ผลงานรัฐ ชี้ทำเศรษฐกิจฟื้น โกงยังเห็นไม่มาก จี้เร่งสมานฉันท์ ดับไฟใต้ แนะรัฐบาลเจรจา “นช.แม้ว” แบบเงียบๆ ยันต้องรักษาเพื่อนบ้านเพราะย้ายประเทศหนีไม่ได้ แนะปรับ ครม.เอาตัวเป้าออก เน้นด้านสังคมชัด เชื่อปี 53 การเมืองอึมครึมต่อ วอนบางฝ่ายเสียสละบ้าง
วันนี้ (24 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงผลงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปีว่า ตนให้เกรดบี เพราะในแง่บวกอย่างน้อยก็สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้ และการทุจริตก็ยังไม่ชัดเจนเท่าใดนักพอจะประคับประคองให้ประเทศไทยผ่านพ้นไปได้ แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุง คือ เรื่องความสมานฉันท์ และการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะความสมานฉันท์ตนอยากแนะนำว่าไม่ควรจะปิดประตู หรือพูดว่าไม่รับ ไม่เอาเงื่อนไขของฝ่ายตรงข้าม เพราะรัฐบาลต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นของความสมานฉันท์ รวมถึงสื่อมวลชนต้องไม่สนใจเพียงแค่ข่าวที่หวือหวา ไม่มีประโยชน์ ต้องไม่ให้ความสำคัญกับข่าวเหล่านี้
ขณะที่กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยรับเป็นคนกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตนเห็นว่า แม้ พล.อ.สุรยุทธ์ จะออกมาปฏิเสธ แต่ก็ยังไม่ถือว่าจะเป็นการปิดประตูการเจรจา เพราะหากมีการเจรจากันก็จะนำไปสู่ความสมานฉันท์กันได้ ถึงวันนี้มองว่าไม่จำเป็นต้องมีคนกลางก็ได้ ส่วนที่เกรงว่าบางฝ่ายมีการตั้งเงื่อนไขไว้สูงนั้นก็เป็นธรรมดาของคนที่ตั้งเงื่อนไข แต่เมื่อมีการพูดคุยกันเงื่อนไขต่างๆ คงสามารถลดลงได้ ซึ่งจริงๆ การประสานระหว่าง 2 ฝ่ายนั้น สามารถทำกันแบบเงียบๆ ก็ได้ เพราะหากไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ แต่ถ้าคุยกันเงียบๆ จะสำเร็จได้ง่ายกว่า และ 2 ฝ่าย ที่ตนหมายถึงก็คือรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เพราะกลุ่มที่เคลื่อนไหวภายนอกก็ล้วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลและฝ่ายค้านทั้งนั้น ที่ผ่านมาคงมีหลายฝ่ายที่พยายามจะคุยกันเงียบๆเพียงแค่ยังไม่ออกมาเป็นมรรคเป็นผล
ส่วนที่มีหลายฝ่ายออกมาตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ใช้เพื่อนบ้านเป็นฐานในการตอบโต้รัฐบาลนั้น ประธานวุฒิสภากล่าวว่า มีส่วนบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ และต้องแยกให้ออกว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่เพื่อนบ้านเราต้องรักษาเอาไว้เพราะเราจะย้ายประเทศหนีกันไปไหนไม่ได้ ขณะที่การปรับคณะรัฐมนตรีก็ต้องเปลี่ยนกันบ้าง เชื่อว่าเขารู้อยู่แล้วว่าใครเป็นเป้า ก็ควรปรับเปลี่ยนเสียโดยเฉพาะครม.ด้านสังคม ขณะที่ ครม.เศรษฐกิจตนยังถือว่าทำงานได้ดีอยู่
นายประสพสุขยังกล่าวถึงการเมืองในปี 2553 ด้วยว่า คงจะอึมครึมต่อไป ซึ่งเราจะปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเสียสละบ้าง เพราะแม้แต่ต่างประเทศล้วนเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังวุ่นวายของประเทศไทยอยู่ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นจุดเด่นของประเทศทั้งด้านการท่องเที่ยวให้มากขึ้น และรัฐบาลควรเน้นกระตุ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียมากกว่าที่จะไปเน้นหรือคาดหวังนักท่องเที่ยวชาวยุโรป