ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้เอกชนยื่นศาลปกครองอุทธรณ์เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวอีก 19 โครงการ “มาบตาพุด” เทียบเคียงเหตุผลจากโครงการที่ได้รับการยกเว้น 11 โครงการไปก่อนหน้านี้ โดยให้กระทรวงอุตสากรรมเป็นตัวกลาง ประสานให้ภาคเอกชนยื่นอุทธรณ์เป็นรายๆ ไป
วันนี้ (22 ธ.ค.) นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการแก้ไขปัญหามาบตาพุด โดยมีสาระสำคัญในโครงการที่จะขอยื่นศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครอง ชั่วคราวใน 65 โครงการ ในประเด็นเพิ่มเติมได้แก่ 1.กลุ่มโครงการที่อยู่ในเกณฑ์การพิจารณา จำนวน 42 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มที่ดำเนินการแล้ว 11 โครงการ กลุ่มที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 9 โครงการ และกลุ่มที่กำลังก่อสร้างอยู่ 22 โครงการ มูลค่าการลงทุน 185,032 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผู้ประกอบการเสนอมายังกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีการจ้างแรงงาน 25,489 คน
2.กลุ่มโครงการที่ยังไม่ก่อสร้างมี 19 โครงการ กลุ่มโครงการที่ยังไม่ดำเนินการ 4 โครงการ มูลค่ารวม 42,251 ล้านบาท มีการจ้างแรงงาน 5,569 คน
“3.กลุ่มโครงการที่คิดว่า มีเหตุผลเพียงพอที่จะขอยื่นอุทธรณ์ขอผ่อนผันชั่วคราว จำนวน 19 โครงการ เป็นกลุ่มที่ดำเนินการแล้ว 4 โครงการ กลุ่มก่อสร้างแล้วเสร็จ 8 โครงการ และกลุ่มกำลังก่อสร้าง 7 โครงการ มูลค่ารวม 77,069 ล้านบาท และ 4.กลุ่มโครงการที่ต้องหาเหตุผลอื่น ในการขอผ่อนผันต่อศาล 23 โครงการ เป็นกลุ่มโครงการดำเนินการ 7 โครงการ กลุ่มก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 โครงการ และกลุ่มกำลังก่อสร้าง 15 โครงการ โดยใน 4 ประเด็นนี้จะต้องยื่นศาลปกครองกลาง โดยอัยการสูงสุดในแนวทางปฏิบัติ”
ด้าน นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีอุตสาหกรรม กล่าวว่า เหตุผลตัวเลข 19 โครงการที่จะขอยื่นอุทธรณ์เทียบเคียงกับเหตุผลที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ 11 โครงการเดินหน้าต่อได้ที่อยู่ในกิจกรรมหรือโครงการที่ไม่รุนแรง หรือเป็นโครงการที่มีการย้ายเครื่องจักร เทคโนโลยี หรือไม่มีการปลดปล่อยมลพิษ มีการวางแผนในการลดการปลดปล่อยมลพิษโดยตรง ที่ถูกนำมาเทียบเคียง ใน 19 ประเภท จาก 42 ประเภทนี้ที่มีแนวโน้มใกล้เคียงกัน
ส่วนอีก 23 ประเภทที่ยังไม่ดำเนินการก่อสร้างนั้น เป็นกลุ่มที่ก่อสร้างไปบ้างแล้วและกำลังก่อสร้าง โดยกลุ่มที่กำลังก่อสร้างจะไปดูว่า ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ไม่มีการปลดปล่อยมลพิษจะสามารถนำเหตุผลชี้แจงต่อศาลได้หรือไม่ ถ้ายืนยันได้ว่าไม่มีการก่อมลพิษ ก็จะขอให้ศาลผ่อนผันไปก่อน
“แต่ก็จะมีความเสี่ยงว่า หากไม่สามารถจะพิสูจน์ ต่อกรอบมาตรา 67 วรรคสองได้ ก็จะมีความเสี่ยงว่า เมื่อก่อสร้างไปแล้วก็จะประกอบกิจหารในอนาคตไม่ได้”
ดังนั้น ครม.มีมติให้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและปลัดกระทรวงพลังงาน ไปหารือกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ภาคเอกชน แยกแต่ละโครงการเพื่อยื่นศาลปกครองต่อไป โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นตัวกลางให้กับภาคเอกชนเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์เป็นรายๆไป เพราะแต่ละโครงการอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น โครงการด้านปิโตรเคมี พลังงาน และเหล็ก เป็นต้น
