โดย...ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าเวลานี้กัมพูชาถือว่าเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรที่หลบหนีอาญาแผ่นดินของไทย ผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องหาในคดีสำคัญต่างไปพักพิงอยู่ที่นั่น และที่สำคัญคนเหล่านั้นยังปรากฎตัวอย่างเปิดเผยแบบท้าทายกระบวนการยุติธรรมของไทยเสียอีก
ไม่มีการหลบซ่อนหรือปิดบังกันอีกต่อไป
สาเหตุที่ต้องระบุแบบนี้เป็นเพราะได้เห็นภาพจากรายงานของช่อง 7 สี ในช่วง “เช้านี้ที่หมอชิต” วานนี้( 15ธ.ค.) มีการซูมภาพให้เห็น จักรภพ เพ็ญแข ที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้ๆกับบ้านพักของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะมีการต้อนรับ ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ สายลับตัวเอ้กันอย่างเอิกเกริก
เป็นภาพที่ จักรภพ กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่กับบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่กำลังไปร่วมงานต้อนรับสายลับที่เคยส่งข้อมูลตารางการบิน และกล่าวหาว่าเป็นการกระทำมุ่งร้ายต่อ ทักษิณ ที่เคารพของพวกเขา ทำให้คิดไปต่างๆนานา
สำหรับ จักรภพ หากจำกันได้ก่อนหน้านั้นได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และหลังจากเหตุการณ์ก่อจลาจลเมื่อเดือนเมษายน เขาก็เป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดี แต่ได้หลบหนีการจับกุม ซึ่งเชื่อกันว่าไปกบดานอยู่แถวรอยตะเข็บชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีข่าวว่าเขาไปหลบอยู่ในประเทศกัมพูชา แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ชัด จนกระทั่งได้เห็นภาพดังกล่าวก็เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดี และเป็นการปรากฎตัวให้เห็นหลังจากหายหน้าไปเกือบปี
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่ จักรภพ ไปปรากฎตัวที่นั่นอย่างเปิดเผยนอกจากจะเป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมของไทยว่าไม่มีทางลากตัวเขากลับมาดำเนินคดีได้แน่ ขณะเดียวกันยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฮุนเซน ให้การปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มที่ ทำเหมือนกับกรณีปกป้องเจ้านายของเขาคือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
ขณะเดียวกันยังแสดงท่าทีให้ความเห็นแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างไร้มารยาท โดยเฉพาะกรณีวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม หรือศาลไทยที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย อย่างที่ไม่เคยผู้นำคนใดมีท่าทีแบบนี้มาก่อน
หากมองอีกมุมหนึ่ง การที่บุคคลดังกล่าว ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร จักรภพ เพ็ญแข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับ บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยในกัมพูชา โดยมี ฮุนเซน เปิดบ้านพักต้อนรับอย่างเต็มที่แบบนี้มันก็ย่อมไม่ธรรมดา เพราะนี่คือสัญญาณการผนึกกำลังกันเตรียมรุกรบครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าที่ผ่านมาสังคมอาจจะไม่แปลกใจกับการเคลื่อนไหวของ ทักษิณ และคนเสื้อแดง รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยที่กำลังเดินเกมทั้งในสภาและนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลให้ได้ในต้นปีหน้าก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน หลังจากที่ต้องจำใจเลื่อนการชุมนุมในช่วงเดือนมหามงคลออกไปก่อน เนื่องจากกระแสตีกลับถูกรุมด่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ไม่วายยังนัดชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.เพื่อข่มขู่และเช็กกำลังไปในตัว
เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของแต่ละคนทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ย่อมฉายภาพให้เห็นว่า “ศึกใหญ่” กำลังใกล้เข้ามาแล้วทุกขณะ
หากไล่เรียงไปแต่ละคนเริ่มจาก จักรภพ ที่ในอดีตเคยให้สัมภาษณ์อยากเห็น “สงครามประชาชน” และมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชน มีการเขียนบทความรวมทั้งมีข่าวความเคลื่อนไหวในทำนองดังกล่าวเป็นระยะ
สำหรับจักรภพ หากพิจารณาจากศักยภาพในด้านที่มีความสัมพันธ์กับสื่อต่างประเทศมานานเมื่อครั้งที่เคยทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน ว่ากันว่าการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อต่างประเทศหลายครั้งต่อรัฐบาลไทยและสถาบันเบื้องสูงของไทยตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” นั้นเขาน่าจะมีบทบาทสำคัญ
คนต่อมา คือ ทักษิณ นาทีนี้ไม่ต้องพูดกันมากรู้กันอยู่แล้วว่าเขาต้องระดมกำลังเท่าที่มีเพื่อรบขั้นแตกหัก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดแรงกดดันให้มากที่สุด หากไม่สามารถโค่นล้มลงได้ก็ต้องบีบให้คนที่ “มีบารมี” ลงมาเจรจา เพื่อให้เกิดนิรโทษความผิด ทั้งหมด หรือมีการแบ่งปันอำนาจกันใหม่
ซึ่งทุกอย่างต้องเร่งมือ เพื่อแข่งกับเวลาที่กำลังไล่หลังเข้ามาทุกขณะ และแม้ว่าในช่วงเดือนธันวาคมจะไม่มีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเงียบสงบ ตรงกันข้ามในทางลึกกลับมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เห็นได้จากกรณีสายลับวิศวกรไทย ที่เชื่อกันว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องพยายามลากให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อหาทางดิสเครดิตรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศให้เต็มที่ ทั้งที่ในความเป็นจริง กระแสตีกลับสังคมรู้ทันว่าเป็นแค่ “ละครตลก” เท่านั้น
อย่างไรก็ดีถึงจะรู้ว่าได้ไม่คุ้มเสียแต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็จำเป็นต้องเดินหน้าไปจนจบ อีกทั้งได้ทุ่มทุนสร้างจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญอย่างน้อยก็สามารถใช้กัมพูชาเป็นฐานในการก่อกวนรัฐบาลไทยได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงสามารถเดินทางไปรับแผนและปัจจัยสนับสนุนได้สะดวก
ขณะที่บทบาทของผู้นำกัมพูชา ถือว่าได้เลือกเล่นไพ่ ทักษิณ อย่างเต็มที่ ซึ่งหากพิจารณาจากเส้นทางก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่าคนๆนี้หากผลประโยชน์ไม่ “จุใจ” พอรับรองว่าไม่มีทางเสี่ยงเดินทางนี้เป็นอันขาด เพราะที่ผ่านมาจะว่ากันไปแล้ว “ทักษิณ-ฮุนเซน” ถือว่าเป็นศัตรูฝ่ายแรกเคยจ้างกองกำลังของ “นายพลสินสอง” ก่อการรัฐประหารเมื่อหลายปีก่อนหลังจากบริษัทโทรคมนาคมของตัวเองถูกฝ่ายหลังลดอายุสัมปทานการผูกขาดจาก 99 ปีเหลือแค่ 30 ปี ดังนั้นจึงอ่านไม่ยากว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้จับมือกันแน่นในปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและแบ็กกราวด์ของแต่ละคนมารวมกันมันถึงน่ากลัว เพราะมีทั้งแรงอาฆาตผสม ผลประโยชน์ รวมไปถึงการใหญ่ต้องการ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” และเมื่อคนเหล่านี้อยู่กันพร้อมหน้ามันก็ย่อมต่อเป็นจิ๊กซอร์เชื่อมถึงกันได้ไม่ยาก
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก เพราะเวลานี้สังคมรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ คิดจะป่วนอาจทำได้ แต่มันก็ไม่หมูนักหรอก “มูลแม้ว” เอ๋ย !!
ไม่น่าเชื่อว่าเวลานี้กัมพูชาถือว่าเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรที่หลบหนีอาญาแผ่นดินของไทย ผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องหาในคดีสำคัญต่างไปพักพิงอยู่ที่นั่น และที่สำคัญคนเหล่านั้นยังปรากฎตัวอย่างเปิดเผยแบบท้าทายกระบวนการยุติธรรมของไทยเสียอีก
ไม่มีการหลบซ่อนหรือปิดบังกันอีกต่อไป
สาเหตุที่ต้องระบุแบบนี้เป็นเพราะได้เห็นภาพจากรายงานของช่อง 7 สี ในช่วง “เช้านี้ที่หมอชิต” วานนี้( 15ธ.ค.) มีการซูมภาพให้เห็น จักรภพ เพ็ญแข ที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้ๆกับบ้านพักของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะมีการต้อนรับ ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ สายลับตัวเอ้กันอย่างเอิกเกริก
เป็นภาพที่ จักรภพ กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่กับบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่กำลังไปร่วมงานต้อนรับสายลับที่เคยส่งข้อมูลตารางการบิน และกล่าวหาว่าเป็นการกระทำมุ่งร้ายต่อ ทักษิณ ที่เคารพของพวกเขา ทำให้คิดไปต่างๆนานา
สำหรับ จักรภพ หากจำกันได้ก่อนหน้านั้นได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และหลังจากเหตุการณ์ก่อจลาจลเมื่อเดือนเมษายน เขาก็เป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดี แต่ได้หลบหนีการจับกุม ซึ่งเชื่อกันว่าไปกบดานอยู่แถวรอยตะเข็บชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีข่าวว่าเขาไปหลบอยู่ในประเทศกัมพูชา แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ชัด จนกระทั่งได้เห็นภาพดังกล่าวก็เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดี และเป็นการปรากฎตัวให้เห็นหลังจากหายหน้าไปเกือบปี
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่ จักรภพ ไปปรากฎตัวที่นั่นอย่างเปิดเผยนอกจากจะเป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมของไทยว่าไม่มีทางลากตัวเขากลับมาดำเนินคดีได้แน่ ขณะเดียวกันยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฮุนเซน ให้การปกป้องคุ้มครองอย่างเต็มที่ ทำเหมือนกับกรณีปกป้องเจ้านายของเขาคือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ
ขณะเดียวกันยังแสดงท่าทีให้ความเห็นแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างไร้มารยาท โดยเฉพาะกรณีวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม หรือศาลไทยที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย อย่างที่ไม่เคยผู้นำคนใดมีท่าทีแบบนี้มาก่อน
หากมองอีกมุมหนึ่ง การที่บุคคลดังกล่าว ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร จักรภพ เพ็ญแข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับ บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยในกัมพูชา โดยมี ฮุนเซน เปิดบ้านพักต้อนรับอย่างเต็มที่แบบนี้มันก็ย่อมไม่ธรรมดา เพราะนี่คือสัญญาณการผนึกกำลังกันเตรียมรุกรบครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าที่ผ่านมาสังคมอาจจะไม่แปลกใจกับการเคลื่อนไหวของ ทักษิณ และคนเสื้อแดง รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยที่กำลังเดินเกมทั้งในสภาและนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลให้ได้ในต้นปีหน้าก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน หลังจากที่ต้องจำใจเลื่อนการชุมนุมในช่วงเดือนมหามงคลออกไปก่อน เนื่องจากกระแสตีกลับถูกรุมด่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ไม่วายยังนัดชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.เพื่อข่มขู่และเช็กกำลังไปในตัว
เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของแต่ละคนทั้งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ก็ย่อมฉายภาพให้เห็นว่า “ศึกใหญ่” กำลังใกล้เข้ามาแล้วทุกขณะ
หากไล่เรียงไปแต่ละคนเริ่มจาก จักรภพ ที่ในอดีตเคยให้สัมภาษณ์อยากเห็น “สงครามประชาชน” และมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชน มีการเขียนบทความรวมทั้งมีข่าวความเคลื่อนไหวในทำนองดังกล่าวเป็นระยะ
สำหรับจักรภพ หากพิจารณาจากศักยภาพในด้านที่มีความสัมพันธ์กับสื่อต่างประเทศมานานเมื่อครั้งที่เคยทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน ว่ากันว่าการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อต่างประเทศหลายครั้งต่อรัฐบาลไทยและสถาบันเบื้องสูงของไทยตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” นั้นเขาน่าจะมีบทบาทสำคัญ
คนต่อมา คือ ทักษิณ นาทีนี้ไม่ต้องพูดกันมากรู้กันอยู่แล้วว่าเขาต้องระดมกำลังเท่าที่มีเพื่อรบขั้นแตกหัก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดแรงกดดันให้มากที่สุด หากไม่สามารถโค่นล้มลงได้ก็ต้องบีบให้คนที่ “มีบารมี” ลงมาเจรจา เพื่อให้เกิดนิรโทษความผิด ทั้งหมด หรือมีการแบ่งปันอำนาจกันใหม่
ซึ่งทุกอย่างต้องเร่งมือ เพื่อแข่งกับเวลาที่กำลังไล่หลังเข้ามาทุกขณะ และแม้ว่าในช่วงเดือนธันวาคมจะไม่มีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเงียบสงบ ตรงกันข้ามในทางลึกกลับมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก เห็นได้จากกรณีสายลับวิศวกรไทย ที่เชื่อกันว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องพยายามลากให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อหาทางดิสเครดิตรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศให้เต็มที่ ทั้งที่ในความเป็นจริง กระแสตีกลับสังคมรู้ทันว่าเป็นแค่ “ละครตลก” เท่านั้น
อย่างไรก็ดีถึงจะรู้ว่าได้ไม่คุ้มเสียแต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วก็จำเป็นต้องเดินหน้าไปจนจบ อีกทั้งได้ทุ่มทุนสร้างจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญอย่างน้อยก็สามารถใช้กัมพูชาเป็นฐานในการก่อกวนรัฐบาลไทยได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงสามารถเดินทางไปรับแผนและปัจจัยสนับสนุนได้สะดวก
ขณะที่บทบาทของผู้นำกัมพูชา ถือว่าได้เลือกเล่นไพ่ ทักษิณ อย่างเต็มที่ ซึ่งหากพิจารณาจากเส้นทางก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่าคนๆนี้หากผลประโยชน์ไม่ “จุใจ” พอรับรองว่าไม่มีทางเสี่ยงเดินทางนี้เป็นอันขาด เพราะที่ผ่านมาจะว่ากันไปแล้ว “ทักษิณ-ฮุนเซน” ถือว่าเป็นศัตรูฝ่ายแรกเคยจ้างกองกำลังของ “นายพลสินสอง” ก่อการรัฐประหารเมื่อหลายปีก่อนหลังจากบริษัทโทรคมนาคมของตัวเองถูกฝ่ายหลังลดอายุสัมปทานการผูกขาดจาก 99 ปีเหลือแค่ 30 ปี ดังนั้นจึงอ่านไม่ยากว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้จับมือกันแน่นในปัจจุบัน
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและแบ็กกราวด์ของแต่ละคนมารวมกันมันถึงน่ากลัว เพราะมีทั้งแรงอาฆาตผสม ผลประโยชน์ รวมไปถึงการใหญ่ต้องการ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” และเมื่อคนเหล่านี้อยู่กันพร้อมหน้ามันก็ย่อมต่อเป็นจิ๊กซอร์เชื่อมถึงกันได้ไม่ยาก
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก เพราะเวลานี้สังคมรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ คิดจะป่วนอาจทำได้ แต่มันก็ไม่หมูนักหรอก “มูลแม้ว” เอ๋ย !!