เคยเห็นแต่ดารานักแสดงในจอโทรทัศน์ ที่สมัยก่อนเข้ากับหลังเข้าวงการมักดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือเรียกศัพท์ในวงการบันเทิงว่า คนพวกนี้ “ถูกภาพมายาชุบตัว” จนไม่หลงเหลือคราบเค้าโคลงตัวตนดั่งเดิม...แต่ใครเลยจะเชื่อ ชีวิตจริงคนเราจะถูกนำมา “ล้อเล่น” สร้างเป็น “ละคร” (ลวงโลก) ซึ่งยิ่งดำเนินเรื่องราวไปมากเท่าใด ก็ยิ่งชวนให้ผู้คนตลกขบขัน ส่ายหัวไปกับเนื้อเรื่อง “ละครปาหี่” เรื่องนี้ ที่ทั้งผู้สร้างและผู้แสดงเล่นไม่สมบทบาท “อย่างแรง”
โดยเรื่องราวการจับกุมตัว “นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์” วิศวกรชาวไทย เกิดขึ้นมาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่า เหตุใดวิศวกรหนุ่มจากประเทศไทยจึงถูกทางรัฐบาลกัมพูชาควบคุมตัวและแจ้งข้อหาจารกรรมข้อมูลอันเป็น “ภัยร้ายแรง” ต่อความมั่นคงกัมพูชา ทั้งที่ข้อหาที่กัมพูชาพยายามยัดเยียดว่าเป็น “ภัยร้ายแรง” เป็นแค่ “ตารางการบิน” ของนักโทษชายหนีคุก นาม “ทักษิณ ชินวัตร” เท่านั้น
หลังวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา “นายศิวรักษ์” ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ก็ปรากฏตัวละครชูโรงคนสำคัญที่ได้ฤกษ์เบิกจอเป็นครั้งแรก คือ “นางสิมารักษ์ ณ นครพนม” ซึ่งเดิมทีไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะบุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียง แต่ภายหลังจากที่ออกมาเปิดเผยตัวตนว่าเป็น “แม่ของวิศวกรไทย” ทำให้ทุกฝ่ายพุ่งเป้าไปที่หญิงวัยกลางคนผู้นี้
แต่ถ้าหากใครสังเกตและจับเรื่องราวต่างๆ มาผูกติดกันเป็นเรื่องราวจะทราบได้ไม่ยากว่า นอกจากละครเรื่องนี้จะค่อยๆ ดำเนินและพัฒนาเนื้อเรื่องอย่างต่อเนื่องแล้ว สิ่งที่ดูจะแปลกใหม่ผิดหูผิดตาเสมือนเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่หากใครมองข้ามก็จะมองไม่เห็นจุดผิดสังเกตตรงนี้ นั่นคือ “ความสวยสะพรั่งและไฮโซโก้หรู” ของ “นางสิมารักษ์” ผู้ที่ประกอบอาชีพครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพาณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา
ที่ต้องยอมรับความจริงว่า เวลานี้ “เสื้อผ้า หน้าผม กระเป๋า เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับ” ที่ “นางสิมารักษ์” สวมใส่ล้วนแล้วแต่มียี่ห้อ และเป็นของแบรนด์เนมชื่อดังจากต่างประเทศ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้น่าชวนคิดและสงสัยว่า “สนนราคา” สิ่งของดังกล่าวที่ประโคมอยู่บนเรือนร่างหญิงวัยกลางคนมี “ราคาแพง” เท่าไหร่ ก็เอาเป็นว่าประเด็นนี้อยากให้ลองฉุกคิดกัน พร้อมหันกลับมาตรองร่วมกับ “การกระทำ” ที่ผ่านมาในฐานะบทบาท “แม่” ของ “นางสิมารักษ์” ว่าแท้จริงแล้วคำตอบอันน่าพิศวงของเรื่องราวดังกล่าว เกิดขึ้นจาก “ความรักและเป็นห่วงลูกของแม่” หรือเกิดขึ้นจากความรู้สึกใดกันแน่?
แต่ถ้าหากใครลืมเลือนหรือไม่ได้ติดตามข่าวสารของ “นางสิมารักษ์” อย่างใกล้ชิด จะขอทบทวนความจำ ด้วยการไล่เรียงลำดับตั้งแต่เริ่มเกิดเรื่องราวนี้ขึ้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
- วันที่ 13 พ.ย.52 “นายศิวรักษ์” วิศวกรชาวไทย ถูกทางรัฐบาลกัมพูชาควบคุมตัว พร้อมกับตั้งข้อหาจารกรรมข้อมูลอันเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงกัมพูชา ทั้งที่ข้อมูลที่ “นายศิวรักษ์” บอกกล่าวกับ “นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย” เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทยในกัมพูชา เป็นเพียงแค่ตารางการบินของเครื่องบินลำหนึ่ง ซึ่ง “นายศิวรักษ์” ไม่เคยทราบมาก่อนว่า มีชื่อนักโทษหนีคดีอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้โดยสาร
- วันที่ 16 พ.ย.52 “นางสิมารักษ์” เปิดตัวประเดิมละครฉากแรก ด้วยแสดงบทบาทในฐานะเป็น “แม่วิศวกรไทย” ที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งวันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนและคนไทยได้รู้จัก รวมทั้งได้เห็นโฉมหน้าตัวละครสำคัญในปาหี่เรื่องนี้
- วันที่ 17 พ.ย.52 “นางสิมารักษ์” ได้มีโอกาสพูดคุยโทรศัพท์กับ “นายศิวรักษ์” ครั้งแรก หลังจากถูกจับกุมตัวอยู่ที่เรือนจำเพรย์ซอว์ ในกัมพูชา ซึ่ง “นางสิมารักษ์” เปิดเผยหลังจากนั้นว่า ได้พูดคุยกับลูกชายเป็นเวลา 5 นาที เพื่อสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้ทราบว่า “นายศิวรักษ์” สบายดี และ “ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากรัฐบาลกัมพูชา” แต่ “นางสิมารักษ์” ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเรื่องโรคประจำตัวของลูกชายที่อาจจะกำเริบขณะถูกจับกุมตัวอยู่ในเรือนจำ จึงเรียกร้องให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ใช้ความสัมพันธ์ที่สนิทแน่นแฟ้นกับ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในการช่วยเหลือให้มีการปล่อยตัว “นายศิวรักษ์”
-วันที่ 27 พ.ย.52 “นางสิมารักษ์” และ “นายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์” น้องชายนายศิวรักษ์ เดินทางไปที่เรือนจำเปรย์ซอ ในกัมพูชา ตามความช่วยเหลือของ ส.ส.และผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นมือเข้ามาเสมือนว่า “หวังดี” ไม่ว่าจะเป็น “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย “นายนพดล ปัทมะ” ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้ง “นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ร่วมกันเป็นตัวประกอบกิตติศักดิ์ให้แก่ละครปาหี่ไทย-กัมพูชา
- วันที่ 30 พ.ย.52 “นางสิมารักษ์” เดินทางไปพบ “นายนพดล” เพื่อขอให้ช่วยพาไปพบ “นายศิวรักษ์” ที่กัมพูชาอีกครั้ง โดยอ้างว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยทำงานล่าช้า จึงไม่ต้องการพึ่งพาความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวขอบคุณ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ที่มีใจเป็นกลาง และช่วยเหลือ “นายศิวรักษ์” มาตลอด
- วันที่ 1 ธ.ค. 52 “นางสิมารักษ์” โฟนอินเข้ามาที่พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้คนในพรรคหาทางช่วยเหลือ “นายศิวรักษ์” อย่างเต็มที่ โดยยืนยันว่าจะไม่ขอรับความช่วยเหลือใดๆ จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย
- วันนี้ 2 ธ.ค. 52 “นางสิมารักษ์” เดินทางไปเยี่ยม “นายศิวรักษ์” เป็นครั้งที่ 2 โดยเปิดใจถึงเหตุผลที่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยช่วยเหลือ เพราะ “เกรงใจ” กระทรวงการต่างประเทศของไทย อีกทั้งยังกล่าวขอบคุณ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่คอยให้ความช่วยเหลือเรื่องการอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งผู้นำกัมพูชาได้ส่งนายทหารระดับสูงไปรอรับ “นางสิมารักษ์” ถึงบันไดเครื่องบิน!!
- วันที่ 3 ธ.ค. 52 “นางสิมารักษ์” ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่ได้ไปเยี่ยม “นายศิวรักษ์” ว่า หากคดีนี้ตัดสินเสร็จสิ้น และลูกชายหลุดพ้นจากคดี จะให้ “นายศิวรักษ์” บวชเป็นอันดับแรกทันทีที่เดินทางมาถึงประเทศไทย ซึ่งหลังจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่สนามบินสุวรรณภูมิครั้งนี้ ต่อจากนั้น “นางสิมารักษ์” ก็เดินทางไปพบกับ “พล.อ.ชวลิต” ที่พรรคเพื่อไทยต่อทันที เพื่อกล่าวคำขอบคุณที่ให้การช่วยเหลือเรื่องการเดินทางไปเยี่ยม “นายศิวรักษ์” พร้อมทั้ง ปรึกษาเรื่องการจะขอ “เปลี่ยนตัวทนายความคนใหม่” ทั้งที่อีกไม่วันก็จะถึงวันที่ศาลกัมพูชาตัดสิน ไม่มีใครคิดทำเช่นนี้แน่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นผลดีต่อ "นายศิวรักษ์"
- วันที่ 4 ธ.ค. 52 กระทรวงการต่างประเทศของไทย ยื่นเรื่องขอประกันตัว “นายศิวรักษ์” แต่ “นางสิมารักษ์” ขัดขวางพร้อมกับถอนประกันตัว ซึ่งถือเป็นการ “ปฏิเสธอิสรภาพชั่วคราวของลูกชายหลังจากที่ถูกจองจำในคุก” เป็นเวลาหลายวัน โดย “นางสิมารักษ์” อ้างว่า ต้องการให้ “นายศิวรักษ์” ไปฝากความหวังหรือ “วัดดวง” ผูกชีวิตไว้กับการ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” เพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นศาลกัมพูชา ยังไม่ตัดสิน “นางสิมารักษ์” ทราบได้อย่างไรว่า คำตัดสินคดีนี้ “นายศิวรักษ์” จะตกอยู่ในสภาพคนผิด!!
- วันที่ 7 ธ.ค. 52 “นางสิมารักษ์” และ “นายพงษ์สุรีย์” น้องชายนายศิวรักษ์ ได้เดินทางไปกัมพูชา เพื่อเตรียมรอลุ้นผลคำตัดสินคดี “นายศิวรักษ์” ในวันรุ่งขึ้น (8 ธ.ค.) โดย “นางสิมารักษ์” ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า หากศาลกัมพูชาตัดสินว่าทำผิดจะขอความช่วยเหลือจาก “พล.อ.ชวลิต” และพรรคเพื่อไทย เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษทันที โดยไม่มีการ “ยื่นอุทธรณ์” ใดๆ
- วันที่ 8 ธ.ค. 52 เป็นไปตามคาด เมื่อศาลกัมพูชาตัดสินสั่งจำคุก “นายศิวรักษ์” เป็นเวลา 7 ปี พร้อมปรับเงิน 1 แสนบาท โดยหลังจากที่ฟังคำตัดสิน “นางสิมารักษ์” ยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่มีการยื่นอุทธรณ์ เนื่องจากเกรงว่าคดีจะยืดเยื้อ พร้อมทั้งได้โฟนอินจากกัมพูชากลับมาที่พรรคเพื่อไทย เพื่อร่วมแถลงข่าวกับ “นายพร้อมพงศ์” ซึ่งแม่วิศวกรไทย ระบุว่า “จากนี้คงไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว” อยากวิงวอนขอความช่วยเหลือจาก “พ.ต.ท.ทักษิณ” “พล.อ.ชวลิต” รวมทั้ง พรรคเพื่อไทย ให้ช่วย “นายศิวรักษ์” ให้ได้รับอิสรภาพในเร็ววัน โดยขอให้ดำเนินการเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ วันเดียวกัน “นางสิมารักษ์” ยังเรียกร้องให้ “นายคำรบ” เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทยในกัมพูชา ออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดยโทษว่าที่ “นายศิวรักษ์” ถูกศาลกัมพูชาตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาถึง 7 ปี ก็เพราะ “นายคำรบ” เป็นต้นเหตุ!!
- วันที่ 9 ธ.ค. 52 “นางสิมารักษ์” ยืนยันไม่ขอรับความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เรื่องราวยุ่งยาก พร้อมทั้งประกาศชัดเจนว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีการจัดฉาก ใครจะเอาลูกชายไปเป็น “ตัวประกัน” เพื่อแลกกับ “ข้อเสนอ” อะไรบางอย่าง ทั้งย้ำชัดถ้อยชัดคำว่า “เอาลูกไปติดคุกเพื่ออะไร แค่คิดก็ถือว่าเลวสุดๆ แล้ว”
- วันที่ 11 ธ.ค. 52 “กษัตริย์กัมพูชา” อภัยโทษให้แก่ “นายศิวรักษ์” พร้อมกันนี้ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ออกมาประกาศอนุญาตให้ “นายศิวรักษ์” ทำงานในกัมพูชาต่อไปได้ แม้ว่าจะเคยตกเป็น “ผู้ต้องหาคดีเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงกัมพูชา!!”
- วันที่ 12 ธ.ค.52 “นางสิมารักษ์” ปฏิเสธให้ “นายศิวรักษ์” ทำงานในกัมพูชาต่อ โดยระบุว่าทันทีที่ลูกชายถูกปล่อยตัวจะนำกลับประเทศไทยทันที
- ล่าสุด วันที่ 13 ธ.ค.52 “นางสิมารักษ์” ขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้การช่วยเหลือ “นายศิวรักษ์” และยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเกมการเมือง โดยทันทีที่ “นายศิวรักษ์” เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย จะให้ไปกราบขอบคุณคนที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้มาตลอด
สุดท้าย...ท้ายสุด ละครปาหี่ที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” และ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ร่วมกันกำกับและอำนวยการสร้างขึ้น นอกจากมุ่งหมายให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” สวมบทพระเอกขี่ม้าขาวแล้ว ยังทำให้เราคนไทยต่างได้มีโอกาสเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของบทบาทใหม่ในตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่พิสูจน์ชัดเจนว่า เขามีความรักในตัวลูกชายมากน้อยแค่ไหน...มันก็คงเป็นเหมือนละครน้ำเน่าทางช่องฟรีทีวีที่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม ก็คงเช่นเดียวกันกับละครลวงโลกเรื่องนี้
ฉากสุดท้ายของละครปาหี่เรื่องนี้ ไม่ได้จบลงหรือปิดฉากรูดม่านที่กัมพูชา หากแต่ทันทีที่วันนี้ “นางสิมารักษ์” เดินทางไปรับตัว “นายศิวรักษ์” กลับมายังประเทศไทย เราจะได้เห็นละครปาหี่ ภาค 2 ซึ่งต้องติดตามชมตอนต่อไป...