“วีระชัย” เมินเสียงทวงเก้าอี้ รมต. โยนนายกฯ ตัดสิน ยันทำงานเต็มที่มีผลงาน แต่ไม่ได้ออกสื่อทำคนรู้จักน้อย ปัดเป็นนายทุนพรรคเลยไม่ถูกเขี่ยพ้น ครม. แนะทุกฝ่ายพูดให้น้อยลงจะแก้ปัญหาความแตกแยกในสังคมได้ ชี้ปล่อยไว้ความรุนแรงเกิดแน่
วันนี้ (9 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กดดันให้ลาออกจากตำแหน่งว่า ไม่คิดอะไรมาก ตราบใดที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี ตนก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนตัวแล้วพอใจในผลงานตัวเอง ส่วนถ้าจะปรับ ครม.ขอให้เป็นการตัดสินของนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว สิ่งที่ดีที่สุดคือให้นายกฯทำงาน ทุกคนไม่ควรกดดันท่าน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมท่านจะตัดสินเอง และที่ผ่านมาก็ได้พูดคุยกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ซึ่งตนเองก็รับฟังไม่ว่าจะคนในหรือนอกพรรค คนที่ทำงานกับตนจะรู้จักนิสัยใจคอของตน เรื่องที่พูดมาถ้าควรปรับปรุงก็ปรับปรุงแต่ถ้าเข้าใจผิดก็ต้องชี้แจง ตนตั้งใจมาทำงานเต็มที่ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็ไม่สนใจ
ส่วนกรณีที่นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาทวงเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น นายวีระชัยกล่าวว่า อย่าบอกว่าทวงเลย แต่คนเราที่เป็น ส.ส.5-6 สมัยก็มีความพร้อม ส่วนตนก็อยู่ในการเมืองมานาน ตำแหน่งที่เป็นทางการในทำเนียบ 3 ครั้ง ไม่นับที่เคยอยู่ในกระทรวง ก็มีความพร้อมกันทุกคน การที่คนมาพูดอะไรนั้นทุกคนเป็น ส.ส.ถือว่าวุฒิภาวะ มีอิสระ อยากจะพูดอะไรก็เป็นความเห็นที่ต้องนำมาพิจารณา ไม่ต้องเป็นถึงระดับผู้แทน ระดับข้าราชการตน ก็พร้อมจะฟัง คนที่จะมาให้กำลังใจตนก็มีเยอะ แต่ก็ห้ามไว้เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นไปกดดันนายกฯ ส่วนที่ดูเหมือนไม่มีผลงานนั้นก็เพราะงานส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้สัมผัสกับประชาชน และอาจจะคุยกับสื่อน้อยเกินไปก็ได้
นายวีระชัยยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าเป็นนายทุนพรรคจึงไม่ถูกปรับออกจาก ครม.ว่า ตนเป็นนายทุนหรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องการเมือง ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ เรื่องความสามัคคี เพราะถ้าปล่อยให้ความคิดเห็นของคนในสังคมมันแตกต่างกันมากยิ่งขึ้นช่องทางแก้ปัญหาก็จะเล็กลงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รีบทำให้ความแตกต่างกันแคบลงจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ ซึ่งเชื่อว่านายกรัฐมนตรีพยายามจะแก้ปัญหา และขณะนี้ก็เดินมาถูกทางแล้ว แต่ปัจจัยต่างๆ ที่รอบตัวอยู่ไม่เอื้ออำนวย ถ้านานเข้าๆ จะแก้ปัญหายาก พอถึงจุดจุดหนึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรง ฉะนั้น ตนจึงเสนอทางออกว่า ทุกฝ่ายไม่ว่าจะรัฐบาลหรือทุกฝ่ายต้องช่วยกันพูดให้น้อยลง ต้องช่วยกันทำมากกว่าพูด