xs
xsm
sm
md
lg

“เด็จพี่” เมินพักรบ! คันปาก จ้องซักฟอกต้นกล้าอาชีพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
“พร้อมพงศ์” เขย่า รบ.ขาดความเป็นมืออาชีพ เพิ่งตั้ง คกก.4 ฝ่ายศึกษาปัญหามาบตาพุด หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งระงับ 65 โครงการ โวล่วงหน้าเตรียมรวบรวมหลักฐาน “โครงการต้นกล้าอาชีพ” อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จวกโครงการไทยสามัคคีไทยเข้มแข็งสิ้นเปลืองงบประมาณ ผลักภาระให้ท้องถิ่น อ้างความยุติธรรมในสังคมไม่มีความสามัคคีไม่เกิด

วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ระงับโครงการอุตสาหกรรมในมาบตาพุดจำนวน 65 โครงการที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารเศรษฐกิจแบบขาดความเป็นมืออาชีพ ขาดความเข้าใจ แทนที่จะบูรณาการทำตามกรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรค 2 และมีกฎหมายลูก มีคณะกรรมการมรองรับ หรือตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาบริหารตามที่พรรคเพื่อไทยเสนอ กลับมีการตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายภายหลังเกิดปัญหาแล้ว รัฐบาลไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักธุรกิจได้ การแก้ปัญหาเป็นแบบตามยถากรรม ทุกอย่างล่าช้า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เกิดความเสียหายเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุน นอกจากนี้ นักลงทุนภาคเอกชนอาจจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ต้องนำเงินภาษีมาแก้ปัญหาให้กับการบริหารที่ล้มเหลวของนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการบริหารที่ล้มเหลว

นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงโครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาลว่า โครงการต้นกล้าอาชีพเป็นโครงการฝึกอบรมอาชีพและสร้างงานให้แก่ผู้ว่างงาน ผู้กำลังจะถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ ใช้งบประมาณถึง 14,000 ล้านบาท ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แต่การฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพระยะที่หนึ่งที่ใช้เงินถึง 6,900 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เพิ่มศักยภาพแรงงาน ผู้ว่างงานไม่สนับสนุนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ทั้งนี้ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยพบว่า มีความไม่ชอบมาพากลและส่อไปในทางทุจริต เช่น ที่อำเภอสรรคบุรี จ.ชัยนาท มีการเข้ารับการอบรมแทนกัน แจ้งชื่อผู้อบรมไม่ตรงกับการเบิกจ่ายเงิน การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง ไม่สะดวกในการเดินทาง ไปติดต่อลงทะเบียนไว้แต่ไม่ได้เรียน ไม่มีการสอนความรู้ใหม่ การกำหนดคุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรมไม่ชัดเจน หลักสูตรที่ต้องการไม่มีเปิดให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเล่นพรรคเล่นพวก

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.สิงห์บุรี มีการอบรมหลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรการทำขนมไทย ด้านตัดเย็บเสื้อผ้า ด้านอาหารไทย ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ผู้อบรมกลับไม่มีความรู้พื้นฐานในด้านที่เข้ารับการฝึกอบรม ประชาชนหรือผู้ว่างงานไม่ประสงค์เข้ารับการอบรมในโครงการ การเขียนใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ารับการคัดเลือกโครงการ เลือกสาขาอาชีพ หรือเลือกหลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม แต่ผู้สมัครไม่ได้รับการฝึกในสาขาอาชีพที่เลือก แต่เอาหลักสูตรอื่นยัดเยียดให้

“งบประมาณการฝึกอบรมในระยะที่ 1 งบ 6,900 ล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปเพียง 5,900 ล้านบาท สามารถส่งคืนรัฐได้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบมหาศาลที่สูญเปล่า ได้ประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนที่เสียไป พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดและจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในต้นปี 2553 เมื่อเปิดประชุมสภา” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงโครงการไทยสามัคคีไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของรัฐบาลว่า การระดมประชาชนมาร่วมร้องเพลงชาติในช่วง 6 โมงเย็นของทุกวันจนถึงวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.นั้น เป็นการประจานผลงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แก้ไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน และสิ้นเปลืองงบประมาณ ท้องถิ่นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเกณฑ์คนมาสร้างภาพความสมานฉันท์แบบปลายเหตุ เพื่อสนองความต้องการของนายอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่งบประมาณท้องถิ่นมีจำกัดอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการใช้งบประมาณไปเพียง 13 ล้านบาทนั้น คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยพบว่า มีการใช้งบประมาณแฝง ผลักภาระให้ท้องถิ่นทั่วประเทศเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท เหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สร้างภาพแบบผักชีโรยหน้าแก้ปัญหารายวัน

นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า สาเหตุปัญหาความแตกแยกมาจากการที่มีกลุ่มคนบางพวกได้ร่วมกับคณะทหารวางแผนปฏิวัติอันเกิดจากความอิจฉาริษยาด้วยการสร้างความเข้าใจผิดและความเกลียดชังให้เกิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการยัดเยียดข้อหาความไม่จงรักภักดี สร้างข่าวเท็จใส่ร้ายเป็นรายวันผ่านสื่อ ที่ไร้จริยธรรมมาจนถึงทุกวันนี้ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่ยอมรับความจริงว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่าย โอกาสในการสร้างความสมานฉันท์คงจะเกิดได้ยาก ดังนั้น รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมไม่มี ความสามัคคีก็ย่อมไม่เกิด
กำลังโหลดความคิดเห็น