“ผ่าประเด็นร้อน”
ได้เห็นข่าว ทักษิณ ชินวัตร ส่งข้อความสั้นมาถึงบรรดาสาวกเสื้อแดง เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกว่าจะขอลาหยุด 3 วันเพื่อไปประกอบภารกิจส่วนตัว อ้างว่าไปพบผู้นำยุโรป แต่ก็อุบเงียบอีกไม่ยอมบอกว่าเป็นผู้นำประเทศใด
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ล่าสุดก็จะเห็นร่องรอยที่ผิดปกติเกิดขึ้นตามมาให้เห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะกรณีบริษัทลงทุนของดูไบ คือ “ดูไบเวิลด์” กำลังจะพินาศหลังจากลงทุนเกินตัว
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศของไทยกำลังรุกหนักในเรื่องการตามล่าตัวกลับมาดำเนินคดีทุจริตในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เป็นความเคลื่อนไหวหลังจากการใช้ฐานในประเทศกัมพูชาร่วมมือกับ “ฮุนเซน” เปิดเกมป่วนประเทศไทยหลายระลอก ล่าสุดแม้กระทั่งเรื่องการจับวิศกรไทยในข้อหาจารกรรมข้อมูลตารางการบิน แต่ยังไม่เป็นผล จุดกระแสไม่ขึ้น ตรงกันข้ามยังเข้าเนื้อตัวเองหนักเข้าไปอีก
นอกจากนี้ การจะเร่งปิดเกมด้วยการชุมนุมคนเสื้อแดงในช่วงเดือนมหามงคล ก่อนคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านจะพิพากษา ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่มีใครเอาด้วย จนต้องสั่งถอยอย่างกระทันหัน ท่ามกลางเสียงก่นด่าจากทั่วสารทิศ เสียหายป่นปี้
พิจารณาจากเหตุการณ์สองสามอย่างที่ผ่านมา ถือว่าได้ทำให้ทักษิณนั่งไม่ติด เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ชี้ชะตากรรมในอนาคตทั้งสิ้น
หากพิจารณาทีละประเด็นหลายคนคงเชื่อว่า เขาต้องมีส่วนในการเข้าไปร่วมลงทุนไม่มากก็น้อยกับบริษัท “ดูไบเวิลด์” ที่กำลังเจ๊งอยู่ในเวลานี้ เพราะหากพิจารณาจากหลักการทั่วไปของแทบทุกประเทศแล้ว การจะให้คนต่างด้าวคนใดก็ตามมาอาศัยในประเทศของตัวเองก็ต้องมีเงื่อนไขในเรื่องของตัวเงินลงทุน หรือโครงการที่ต้องได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งกรณีของ ทักษิณ อาจจะถือว่าพิเศษไปกว่ารายอื่นที่ถือว่าสามารถเข้าไป “ตีสนิท” กันถึงในระดับผู้บริหาร ก็ย่อมไม่ธรรมดา
และเพื่อไม่แสดงให้เห็นถึงความ “กระจอก” ก็ต้องร่วมกัน “คิดใหญ่ทำใหญ่” ตามประสาคนขี้โม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
หากย้อนอดีตไปไม่นานนักในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2551 ในยุครัฐบาล “นอมินี” สมัคร สุนทรเวช ก็ได้ต้อนรับ “สุลต่าน อะห์เหม็ด บินสุลาเย็ม” ผู้บริหารใหญ่ของบริษัท ดูไบเวิลด์ ขณะมาแสดงวิสัยทัศน์ให้คนไทยได้น้ำลายหก จะทำการซื้อขายประเทศไทยผ่านทางอภิมหาโปรเจกต์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือน้ำลึก รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า สะพานเศรษฐกิจเชื่อมอ่าวไทยกับอันดามัน ทุกโครงการรวมกันนับล้านล้านบาท หวังจะค้ากำไรขายประเทศร่วมกับ ทักษิณ แต่โชคดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง รัฐบาลสมัคร ล่มปากอ่าวไปก่อน ทุกอย่างจึงค้างเติ่ง
ความซวยจึงไปเยือนเฉพาะสุลต่านดูไบกับ ทักษิณ!!
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้ในการขายสโมสรฟุตบอลแมนซิตีในอังกฤษก็ได้พวกเศรษฐีจากดูไบนี่แหละเป็นคนไปซื้อด้วยวิธีพิสดาร จนถึงวิจารณ์ว่ามีเงื่อนงำ หรือแม้กระทั่งมีการกล่าวหาว่างานนี้น่าจะมีรายการ “ฟอกเงิน” รวมอยู่ด้วย เพราะเป็นการขายในราคาที่แพงเกินจริง
อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าสำคัญไม่แพ้กันสำหรับอนาคตของ ทักษิณ ที่วันทั้งวันคิดแต่เรื่องกำไรขาดทุนเป็นหลัก นั่นก็คือ เรื่องเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านที่อุตส่าห์ขายหุ้นชินคอร์ปมาทั้งหมดหวังจะไปแตกหน่อลงทุนในธุรกิจอนาคต เช่น พลังงาน เป็นต้น แต่กลับกลายเป็นว่ากำลังถูกอายัด กำลังถูกกล่าวหาว่าเงินที่ได้มาดังกล่าวมาจากการฉ้อฉลทำให้ร่ำรวยผิดปกติ และศาลกำลังจะชี้ขาดในไม่กี่วันข้างหน้า
ทำให้บังเอิญไปประจวบเหมาะกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงเดือนมหามงคล แต่ไม่มีใครเอาด้วย “กระแสตีกลับ” จึงต้องถอยร่น มาตั้งหลักใหม่ และล่าสุดมีการประกาศว่าจะชุมนุมใหญ่ในเดือนมกราคม ก็เพื่อจะตีกระหนาบทั้งในและนอกสภา เนื่องจากจะมีการเปิดสมัยประชุมสามัญ จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพร้อมกันทีเดียว
แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องลุ้นกันอีกทีว่าบรรยากาศจะเป็นใจอีกหรือไม่ เพราะนับวันชาวบ้านยิ่งรำคาญขึ้นทุกวัน เสื้อแดงที่เคยสู้ด้วยใจบริสุทธิ์หลายคนเริ่มคิดได้แล้วว่าจะมาตากแดดตากฝน มาบ้าสู้เพื่อทวงทรัพย์สมบัติของทักษิณ ทำไม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่คาดกันว่าทักษิณ กำลังหน้ามืดและต้องเผชิญกันอยู่ในเวลานี้ก็คือเรื่องทรัพย์สินที่กำลังละลายไปกับโครงการดูไบเวิลด์ ถึงแม้ถ้ามองในแง่ดีว่าเขาจะไม่ได้ร่วมลงทุนในโครงการยักษ์ แต่ก็น่าเชื่อได้ว่าอย่างน้อยต้องมีรายการซื้ออาคารที่พักหรูหราอย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องใช้เงินไม่น้อย แต่ปัญหาก็คือเวลานี้ทรัพย์สินเหล่านั้นราคามันกำลังตกลงอย่างฮวบฮาบ
เพราะขนาดสถาบันจัดอันดับเครดิต “แร้งทึ้ง” อย่าง เอสแอนด์พี และมูดีส์ ยังระบุทันทีภายหลังดูไบเวิลด์ไม่ชำระหนี้ว่าเป็น “ขยะ” แล้วจะไม่ให้หน้ามืดได้อย่างไร และการที่ ทักษิณ บอกว่าขอลาหยุดไปพบผู้นำยุโรป 3 วัน หากคาดเดากันแบบสนุกๆแบบสู่รู้ก็คงมีไม่กี่เรื่องคือ หนึ่งกำลังรวบรวมเงินก้อนที่เหลือเล็งหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งประเทศยุโรปปลายแถวที่ว่าก็น่าจะเป็น “มอนเตเนโกร” ที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวปล่อยว่าจะไปซื้อเกาะส่วนตัวที่นั่น แต่ก็เงียบไป คราวนี้อาจไปก่อเรื่องที่นั่นอีกก็เป็นได้
ดังนั้น มาถึงนาทีนี้นับวัน ทักษิณ จะหาที่ยืนลำบาก และนี่อาจเป็นบทส่งท้ายของเขา ที่คงจะต้องพูดถึงน้อยลงทุกที เพราะไร้ราคาเป็นเสมือนตัวอัปมงคล ไม่มีใครต้องการ!!