xs
xsm
sm
md
lg

สถิตทั่วแต่ชั่วดีประดับไว้ในโลกา!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ผ่าประเด็นร้อน”

     พฤษภกาสร       อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง      สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย      มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี       ประดับไว้ในโลกา


(คำฉันท์ตอนหนึ่ง พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส)

ก่อนจะกล่าวบทไป ต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวและพรรคพวกเพื่อนฝูงอันเป็นที่รักทุกคน ต่อการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับของ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ด้วยวัย 74 ปี เมื่อตอนเช้าวานนี้(24 พ.ย.)

ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบันดาลให้เขาได้อยู่ในที่สงบสุขชั่วนิรันดร์ และนับจากนี้ไปถือว่าได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน อะไรที่เคยล่วงล้ำก้ำเกินก็ขออโหสิกรรม ทุกอย่างถือว่าได้ปิดฉากลงแล้ว

แม้ว่าที่ผ่านมาระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก่อให้เกิดความทรงจำมากมาย ตั้งแต่ในยุคท็อปบูตไล่มาจนถึงยุคประชาธิปไตย หรือแม้กระทั่งในยุคประชาธิปไตยในคราบเผด็จการก็ตาม

ทุกยุคทุกสมัย ก็ต้องมีคนชื่อสมัคร สุนทรเวช เข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องแทบทุกครั้ง หรือแม้กระทั่งล่าสุดในยุคที่เป็นรัฐบาล “หุ่นเชิด” ของระบอบทักษิณ เขาก็ได้ทำให้เกิดความจดจำจนไม่อาจลืมเลือนได้ง่ายๆ โดยเฉพาะระหว่างที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2551 หลังจากที่กลุ่ม “เสื้อแดง” ยกขบวนจัดตั้งพร้อมอาวุธ เช่นมีด ไม้ หรือแม้กระทั่งอาวุธปืน มาจากสนามหลวงบุกเข้าทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บไปหลายคน

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปในอดีต สมัคร สุนทรเวช ได้สร้างความจดจำให้กับคนไทยจำนวนมากทั้งในฐานะนักการเมืองดาวโรจน์ที่เริ่มต้นภายใต้ชายคาพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่ปี 2511 จากนั้นก็ได้แยกทางกันเดิน โดยเขามีบทบาทโดดเด่นในช่วงปี 2519 ในฐานะนีกจัดรายการวิทยุ “ยานเกราะ” ที่ต่อต้านขบวนการนักศึกษา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่คนไทยเข่นฆ่ากันเองอย่างโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์

ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และท้องทุ่งสนามหลวง เต็มไปด้วยศพและเลือดของนักศึกษาและประชาชน อย่างสยดสยอง ซึ่งหลายคนยังไม่ลืมกันภาพโหดร้ายดังกล่าวมาจนถึงทุกวันนี้

แต่หลังจากนั้น สมัคร ก็ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาล “หอย” มีบทบาทโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆในฐานะนักการเมืองหนุ่มที่มีฝีปากกล้า เป็นหัวหอกกลุ่ม “ขวาจัด” ได้อย่างคงเส้นคงวา จนกระทั่งหลังจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2547 ก็ได้วางมือทางการเมืองไปอย่างเงียบๆ

อย่างไรก็ดี จะด้วยเป็นเพราะยังเดินทางไปไม่ถึงจุดสูงสุดในชีวิตทางการเมือง ก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ เขาได้กลับมาร่วมหัวจมท้ายกับพรรคพลังประชาชน ยอมเป็น “หุ่นเชิด” ของ ทักษิณ ชินวัตร สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย เพราะภาพของ สมัคร สุนทรเวช จะติดตัวในเรื่องของความจงรักภักดี มาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณตา ขณะที่ทักษิณ ถูกกล่าวหาในเรื่องการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่บ่อยครั้ง

อีกทั้งที่น่าสังเกตก็คือ ภายในพรรคพลังประาชนในยุคนั้นยังเต็มไปด้วยศัตรูเก่าของเขาทั้งนั้น แต่แต่ในยุคที่คนเหล่านั้นยังเป็นนักศึกษาในยุค 6 ตุลาคม หลายคนต้องหลบหนีการจับกุม การตามล่า ต้องหลบเข้าไปอยู่ในป่าเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

หรือแม้แต่กับ วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเสื้อแดงในปัจจุบัน ที่ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม่เมา ชนิดที่เรียกว่าไม่เผาผีซึ่งกันและกัน ต่อสู้ขับเคี่ยวในทางการเมืองมาอย่างถึงพริกถึงขิง แต่กลับมาร่วมงานกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เกือบ 8 เดือนที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาก็ได้ใช้ภาพของการจงรักภักดีของตัวเองมาการันตีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ดีหลังจากต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจากกรณีมีความผิดในข้อห้ามที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ (กรณีจัดรายการอาหารชิมไปบ่นไป) สมัคร ก็พยายามกลับมาอีกครั้ง และเชื่อว่าจะได้เสียงโหวตจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย(ชื่อใหม่) แต่กลับกลายเป็นว่า ทักษิณ เลือกที่จะใช้บริการ “น้องเขย” ของตัวเอง คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน

ว่ากันว่าในครั้งนั้นทำให้ สมัครถึงกับเครียดอย่างหนัก และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2552 ออกมาระบุว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ทักษิณ พังจนถึงทุกวันนี้เพราะฟังคนใกล้ตัวเป่าหูมากเกินไป พร้อมทั้งประกาศเตรียมแฉความคับแค้นที่ถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ เช่น เคยกล่าวว่า

“พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี รู้เลยว่านักการเมืองที่อยู่รายรอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยดี ให้คำแนะนำในทางที่ไม่ถูกต้อง และมักจะหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศชาติ”

หรือ “ตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีคนพวกนี้แหละที่มาให้คำแนะนำปรึกษา แต่แฝงผลประโยชน์ทั้งสิ้นจนคนเป็นายกรัฐมนตรีไม่เป็นตัวของตัวเอง” เป็นต้น

คุณูปการของสมัคร สุนทรเวช ที่แม้ว่าอาจถูกมองว่าเคยเป็น “หุ่นเชิด” ของทักษิณ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งเขาก็ยอมออกมาเปิดเผยความจริง เพื่อให้เห็นตัวตนและความไม่ชอบมาพากลของระบอบทักษิณ ให้สังคมได้รับรู้ และนี่ก็อาจเป็นตัวตนอีกด้านหนึ่งของสมัครก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน ชีวิตของสมัครก็ถือว่าน่าศึกษา และน่าจดจำส่วนจะจดจำแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น