สำนวนภาษาอังกฤษ “ come out of the closet” หมายถึง การเปิดเผยกับครอบครัว และสังคมว่า ตัวเอง เป็นพวกรักร่วมเพศ เลิกปกปิด หลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
วิทยา แสงอรุณ นักเขียนของชาวสีม่วง แปลคำนี้ แบบฟังแล้วเห็นภาพเลยว่า “ เลิกแอบเสียที”
เมื่อวานนี้ บริษัท วอยซ์ ทีวี ของลูกชายกับลูกสาว นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยมีนายทรงศักดิ์ เปรมสุข ลูกน้องของพ่อ อดีตกรรมการผู้จัดการสถานีไอทีวี เป็นกรรมการผู้อำนวยการ
วอยซ์ทีวี เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่รับชมได้ทางเว็บไซต์ voicetv.co.th โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นทีวีของคนรุ่นใหม่ มีกลุ่มผู้ชมเป้าหมายเป็นคนในวัย 25- 34 ปี ซึ่งจากผลสำรวจ เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด และในทางการตลาดจัดให้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง
นายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งรั้งตำแหน่งผู้ช่วย กรรมการผู้อำนวยการ บอกว่า วอยซ์ ทีวี ไม่ใช่โครงการทีวีร้อยช่องของพ่อ และอยากให้มองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะเนื้อหาที่นำเสนอทางวอยซ์ทีวีมีหลากหลาย ข่าวเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ใครจะเชื่อก็เชื่อไป สำหรับคนที่ไม่เชื่อ วอยซ์ทีวี จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทีวีร้อยช่องหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะโครงการทีวีร้อยช่องของ นช.ทักษิณ ก็เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่เป็นเพียงการสร้างข่าว ให้มีความเคลื่อนไหวเท่านั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง หรือยั่งยืนนาน แต่ที่แน่ๆ คือ วอยซ์ ทีวี คือ กระบอกเสียงอีกช่องทางหนึ่งของ นช.ทักษิณ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อเสริมกับช่องทางอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว ทั้งพีเพิล ชาแนล และดี สเตชั่น เพื่อช่วยกันปิดฟ้าให้มิด
วอยซ์ ทีวี มี นายจอม เพ็ชรประดับ มล.ณัฐกรณ์ เทวกุล และตวงพร อัศววิไล ร่วมเป็นพิธีกรจัดรายการด้วย ถือเป็น การเดินออกจากตู้เสื้อผ้า เลิกแอบเสียที ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ว่า เป็นสื่อมวลชนที่เป็นกลาง เป็นอิสระ
การเลือกยืนอยู่ข้าง นช.ทักษิณ ของคนที่เข้ามาทำงานสื่อนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะ นช.ทักษิณนั้น มีทั้งคนรัก และคนชัง แต่ขอให้บอกกับผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ฟัง อย่างตรงไปตรงมาว่า ยืนอยู่ตรงไหน อย่าเป็นอีแอบ ที่เอาแต่ท่องคาถา ความเป็นกลาง
ในโลกนี้ การทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง โดยไม่มีอคติหรือผลประโยชน์แอบแฝง มาทำให้ไขว้เขว เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก มีเพียงไม่กี่อาชีพเท่านั้น ที่ดำรงความเป็นกลางในการทำหน้าที่ได้ ซึ่งอาชีพสื่อสารมวลชนในปัจจุบันไม่ใช่หนึ่งในอาชีพเหล่านั้นแน่
สื่อมวลชนไม่เป็นกลาง แต่สื่อมวลชนบอกผู้อ่าน ผู้ฟัง ผู้ชม ได้ว่า เป็นอะไร ยืนอยู่ตรงไหน มีความคิดเห็นอย่างไร เพื่อให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง ผู้ชม รู้ และเลือกเอง อย่าท่องคัมภีร์หลอกผู้อื่นให้หลงใหล เคลิบเคลิ้ม ไปกับสิ่งที่ตัวเองก็ไม่เชื่อ
นายจอม เพ็ชรประดับ อดีตคนข่าวไอทีวี นับว่า เป็น “ ขาประจำ” คนหนึ่งของ นช.ทักษิณที่ได้รับการ คัดเลือก กลั่นกรองให้ เป็นผู้สัมภาษณ์ นช.ทักษิณ มาแล้ว 2 ครั้ง ในช่วง ที่ นช.ทักษิณหนีคดีออกนอกประเทศ
ครั้งแรกนั้น เมื่อปลายปี 2550 ตอนที่ไอทีวี ถูกยึด เปลี่ยนเป็นสถานีทีไอทีวี แต่การสัมภาษณ์ครั้งนั้นไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกอากาศ ในรายการ ตัวจริง ชัดเจน เพราะเป็นช่วงรอยต่อ ที่ทีไอทีวี ต้องยุติการแพร่ภาพ เพื่อส่งมอบ สถานีให้กับ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกันยายน ปีนี้ ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิตซ์ ของ อสมท. ซึ่งเป็นเหตุให้นายจอม ต้องแสดงความรับผิดชอบ ขอยุติการจัดรายการ
ทั้งสองครั้ง เป็นการสัมภาษณ์ที่เปิดโอกาสให้ นช.ทักษิณแก้ตัวฝ่ายเดียว โดยนายจอมไม่ได้ทำหน้าที่ซักค้านแทนผู้ชม ผู้ฟังแต่อย่างใด
เขาอ้างว่า ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่า เป็นสาเหตุแห่งวิกฤตทางการเมืองที่เกิด จึงควรจะได้มีโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แม้ฝ่ายตรงข้ามจะมองว่า คำพูดของทักษิณ เป็นข้อเท็จเสียมากกว่าข้อจริง แต่หน้าที่ของสื่อมวลชน ก็ไม่อาจจะไปตัดสิน หรือสรุปได้เช่นนั้น
“ ขอยืนยันว่า ผมได้ปฎิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนด้วยเจตนาที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม ความถูกต้อง รวมทั้งสร้างความเข้าใจ ในข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพื่อให้ประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสาร ได้พิจารณาตัดสินใจในสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น และเพื่อแสดงถึงหลักการแห่ง ความเป็นอิสระและเสรีภาพของสื่อสารมวลชน”
เป็นคาถาประจำตัวของสื่อมวลชน แต่การร่วมเป็นผู้จัดรายการของวอยซ์ทีวีอย่างเปิดเผยของนายจอม เพ็ชรประดับ ทำให้คาถาที่เขาชอบท่อง ต้องเสื่อมมนต์ขลัง ลงไปนับแต่นี้