“โฆษก ปชป.” ยันไทยเลิกเอ็มโอยู ปี 44 กับเขมร ถือว่าเป็นมาตรการที่เหมาะสมแล้ว อัด “จิ๋ว-แม้ว” อย่าฉวยโอกาสซ้ำเติมชาติ ทั้งที่เป็นตัวต้นเหตุของปัญหาจนวิศวกรไทยถูกจับกุมตัว จวก “เจ๊เพ็ญ” เลิกโกหกประชาชน ย้ำ ปชป.ไม่มีแนวทางแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (19 พ.ย.) ที่รัฐสภา นพ. บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา รวมถึงการจับกุม นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย และการเข้ายึดบริษัทและธุรกิจของคนไทยในประเทศกัมพูชา ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการดำเนินการที่เกินมาตราการตอบโต้ทางการทูต ที่ทางฝ่ายไทยได้ยึดเป็นหลักตามธรรมเนียมปฏิบัติสากล ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้มีการยกเลิกบันทึกข้อตกลง ปี 2544 นั้น ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็มีความวิตกกับกรณีที่เพิ่มเติมต่อกรณีการจับกุมนายศิวรักษ์ ถือว่าเริ่มมีความชัดเจน และคืบหน้าต่อข้อกล่าวหา แต่ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวยังคงมีความคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะนายศิวรักษ์มีหน้าที่ในการดูแลเที่ยวบินตามปกติ และยืนยันว่า เที่ยวบินดังกล่าวได้มีการขออนุญาตการบินไทย ก่อนที่จะออกเดินทางจากประเทศอินเดีย โดย บริษัท แอโร่ สเปซ ก่อนเดินทางไปประเทศกัมพูชา จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ประเทศไทยต้องสั่งการเอาข้อมูลลับ หรือข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือว่า การประสานงานผ่านสถานทูตและสถานกงสุลไทยประจำประเทศกัมพูชา ก็ได้ดำเนินการตามบรรทัดฐานของความสัมพันธ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการรับทราบข้อกล่าวหา และการเตรียมในการต่อสู้คดี และพรรคประชาธิปัตย์ มีความเห็นว่า ไม่อยากให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้ง 2 ท่าน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมาชิกพรรคเพื่อไทย มาฉวยโอกาสทางการเมือง ในการอ้างที่จะเข้ามาแก้ปัญหา ที่ทั้งสองมีส่วนสำคัญในการก่อไว้ และถือว่าเรื่องดังกล่าวต้องนำกลับไปทบทวนว่า ถ้าไม่มีการเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จนทำให้เกิดปัญหากับประเทศไทย นายศิวรักษ์ คงไม่โดนจับกุม เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือ ทั้งสองหากจะช่วยแก้ไข คือ หยุดการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมนอกจากนี้ ทั้งต่อประเทศกัมพูชาและประเทศอื่นๆ เพื่อช่วยคลื่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งของประเทศไทยและมิตรประเทศมีมีพรมแดนติดกัน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของบริษัท CATS ทางพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำรัฐบาล ถือว่าเป็นพันธกรณีสำคัญที่จะให้การดูแลธุรกิจคนไทย ที่ดำเนินการอยู่ในประเทศกัมพูชาอย่างเต็มที่ และยืนยันว่า ช่องทางในการประสานงานเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลง ก็จะมีการประสานงานผ่านความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ยังมีอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นไประดับเอกอัครราชทูต แต่ช่องทางการติดต่อประสานงาน ก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องอยู่
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ต่อกรณีการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เอเชียไทมส์ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา อ้างว่า เป็นคำให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะหลบหนีออกนอกประเทศไปนั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีใครออกมาปฏิเสธ แต่สารสำคัญที่นายจักรภพไม่ได้พูดถึง คือ กรณีการขนส่งอาวุธเบาจากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยแถบพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านตามแนวตะเข็บชายแดนนั้น ตนคิดว่า เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า ไม่เป็นหนังสือพิมพ์เอเชียไทมส์ที่โกหก ก็เป็นนายจักรภพที่โกหกในวันนี้ รวมถึงข่าวที่ยืนยันว่า ตั้งแต่เมษายนจนถึงปัจจุบัน นายจักรภพ ได้ใช้ประเทศกัมพูชาเพื่อเป็นที่พักพิงในการหลบหนีการจับกุม
ส่วนกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย เปิดตัวพยานในการยุบพรรคไทยรักไทยในอดีต ถือว่าการดำเนินการในคราวนี้ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง หากสิ่งที่ พล.อ.พัลลภ อ้างมาเป็นความจริง ก็แสดงว่า พยานทั้งสอง ในอดีตได้เบิกความเท็จ และควบคู่กับสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การที่จะกล่าวอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางเช่นเดียวกันกับพรรคที่ถูกยุบในอดีต นั่นคือ การจ้างพยานเท็จ รวมถึงการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เช่น การติดสินบนศาล ซึ่งเป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พึงกระทำ เยี่ยงอย่างพรรคการเมืองอื่นอย่างแน่นอน และไม่มีพื้นฐานความจริงแต่อย่างใด โดยมีวัตถุประสงค์อยู่ 3 ข้อ คือ 1.ต้องการเบี่ยงประเด็นทางการเมือง จากกรณีปัญหาที่พรรคเพื่อไทยได้ก่อปัญหาไว้กับประเทศกัมพูชา 2.พยายามที่จะช่วยคณะกรรมการมูลนิธิ 111 ให้พ้นความผิด และการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 3.เป็นแนวทางการเมืองที่ดำเนินการโดยใช้ข้อมูลเท็จ เช่น คลิปเสียงนายกฯ และอื่นๆ ที่ผ่านมา และยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะพิสูจน์ตามกระบวนการ และข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ส่วนกรณี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) รับนั่งว่าที่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ พร้อมทั้งได้มีการแสดงนโยบายเป็นพรรคการเมืองใหม่นั้น พรรคประชาธิปัตย์ ขอแสดงความยินดี และถือว่าอดีตที่เกิดวิกฤตทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว และยืนยันว่า ประชาธิปไตยที่ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของประเทศ