ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ศึกในร้อน ศึกนอกประชิดเมือง ศัตรูสุมหัวสมคบคิด มาท้ารบเหยงๆอยู่ประตูเมืองแบบนี้
จะตัดสินใจกระทำการเรื่องใด “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ต้องไม่ผลีผลาม
เป็นไปอย่างที่อดีต รมว.ต่างประเทศ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย สะกิดเตือนเพราะกลเกมบนเวทีต่างประเทศจะบุ่มบ่ามประมาทไม่ได้ จะต่อกรเขมรเจ้าเล่ห์ ต้องระวังหลุมพรางที่ถูกวางไว้
ด้วยผู้นำกัมพูชารายนี้ไม่ธรรมดา ได้ชื่อว่าเป็นลูกกระเป๋งเวียดนาม ขึ้นมาครองอำนาจได้ ย่อมผ่านศึกโชกโชน ช่ำชองเจรจาความเมืองในแบบฉบับการทูตลิ้นสองแฉก
กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ประเทศไทยต้องเพลี่ยงพล้ำ ถือเป็นบทเรียนสำคัญ ยิ่งเมื่อ“จิ้งจอกพนมเปญ” มาผสมพันธุ์กับ “ตะกวดดูไบ”ยิ่งน่าหวั่น
ทรราชเดียว ก็ว่าอันตรายแล้ว ดับเบิ้ลทรราชจับมือกันยิ่งดับเบิ้ลอันตราย
ที่สำคัญ การที่ทักษิณเปิดแนวรบทุกด้านป่วนรอบทิศ ก็เพื่อให้ฝ่าย“ขุนศึกไทย” อย่างแม่ทัพใหญ่- อภิสิทธิ์ ห่วงหน้าพะวงหลัง ดึงกองทัพที่ต้องจัดแบ่งกำลังไปรักษาพื้นที่ตามขอบเขตแดนเพื่อทำให้เกิดช่องว่างในใจกลางพระนคร
เมื่อนั้น“ทัพเสื้อแดง”ที่ประกาศกร้าวมาตั้งแต่หัวรุ่ง ดีเดย์ไว้แล้วว่าจะเข้าตีแตกหักยึดเมืองสะดวกโยธิน
ดังนั้นคนเป็นนายกฯฝ่ายรักษาเมืองต้องรู้เท่าทัน เป็นการพิสูจน์ตัวอภิสิทธิ์ บนเก้าอี้นายกฯ ว่าจะเป็น“นักฆ่าหน้าเด็ก” ดับอหังการจิ้งจอก สังหารตะกวดร้ายจากดูไบได้หรือไม่
อีกแนวรบหนึ่ง “ศึกใน”จากคนไทยด้วยกันเอง ยอมตกเป็นเบี้ยบนกระดานชิง
อำนาจของทักษิณ กับความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่พรรครัฐบาลที่มีเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ไม่สามารถ คอนโทรลเกมได้ จนเกิดเหตุสภาฯล่มซ้ำซาก
ฐานที่มั่นในสภาฯ เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วว่า เป็นอีกจุดอ่อนของรัฐบาลที่ทักษิณจะเข้าตี เพราะหากสภาฯทำงานไม่ได้ ก็จะเพิ่มน้ำหนักในข้อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ ยุบสภา
แนวรบด้านนี้ แม้ที่ผ่านมาทัพทักษิณชิงเมืองจะไม่สามารถบรรลุแผนได้ เพราะมีแม่ทัพใหญ่ด้อยประสิทธิภาพ “ขุนศึกตระกูลชินฯ” ทั้ง “เยาว์ ยิ่ง ยัพ และซาลาเปาแดง” เดินงานไม่เข้าเป้า เพราะปัญหาเรื่องเหนียวหนืด
ดังนั้น เมื่อ “คลังต้นทาง”อย่างทักษิณ มาตั้งฐานอยู่ฝั่งเขมร จึงไม่แปลกใจที่ ทัพผู้แทนฯรับจ้างของนักโทษจะโหยหา ยกโขยงกันข้ามแดนไปพบ ด้วยรักและคิดถึง “น้ำเลี้ยง”
โดยมีกระแสข่าวว่า จัดอัดฉีดอยู่ในสถานกาสิโนรอบขอบแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบ่อนในเครือ“ตือ คอสโม”
พูดถึงชื่อนี้ ฉายานี้ก็ขอนอกเรื่องไปถึง ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็ดในเล้าของนักโทษชาย ที่เคยเป็น ผู้นำทัพในสภาฯของพรรคเพื่อไทยมีสายสัมพันธ์กับเจ้าพ่อบ่อนรายนี้
ภายหลัง “บิ๊กจิ๋ว”เข้ามารับงานเต็มตัว “เป็ดเหลิม”ก็เหมือนถูกแย่งซีน โดนลดบทบาทจนต้องหลบลี้หนีหาย เพราะก็เป็นอีกรายที่หวัง“ส้มหล่น”ฟลุกได้นั่งเก้าอี้นายกฯนอมินี
ไม่เท่านั้นกรณีผิดหวังจาก“ดอกไม้ชินวัตร”ที่หวังจะเด็ดมาดอมดม เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่เป้าหมายที่หวัง เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ จึงอาการ “แห้ว”อย่างแรง
ป่วยใจแล้ว ยังมาป่วยกาย เพราะล่าสุดมีข่าวแจ้งว่า เฉลิม กำลังนอนรักษาตัว และหัวใจ หลังจากที่วิ่งออกกำลังกายภายในบ้านแล้ววูบจนต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฏฯ ให้หมอดูอาการ พักรักษาตัวมาได้หลายวันแล้ว
ประสบเคราะห์กรรมต่อจาก “สมัคร สุนทรเวช”อดีตนายกฯร่างทรง ที่ยังไม่มีวี่แววจะฟื้นจากโรคร้าย “มะเร็ง”
สองม้าใช้ ทั้ง“ขุนศึกฝั่งธนฯ”และ “ขุนพลกทม.”พร้อมใจเดี้ยง หมดฤทธิ์ไปตามกัน!
ทั้งนี้ที่ต้องจับตา ผู้ที่กำลังจะก้าวเข้ามาเป็น “แม่ทัพ”ในแนวรบทางสภาฯ
ที่ได้ตัวมาแล้วทางฝั่งวุฒิสภา ผู้ขันอาสามาจากสุพรรณบุรี ขอเป็นมืองานระบอบทักษิณอีกราย
ประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.แห่งเมืองคนเสียงเหน่อ ที่เดินเกมในวุฒิสภา โชว์ฝีมือให้นายใหญ่เห็นมาหลายงานสำคัญ
ในฐานะ “ล็อบบี้ยิสต์สภาสูง”
เหมือนสมัย ศรีเมือง เจริญศิริ อดีตส.ว.มหาสารคาม ทำหน้าที่นี้ได้ดี รับแผนมาเดินงาน ดึงส.ว.มาเชื่องอยู่ในคอกได้สำเร็จในยุคทักษิณครองเมือง จนได้เก้าอี้รมว.ศึกษาธิการ ยุครัฐบาลสมัคร เป็นบำเหน็จรางวัล
ถึงมากอาวุโส แต่“ประสิทธิ์”ก็ทำหน้าที่ได้คล่องตัวและดีพอประมาณ สามารถระดมไพร่พล รวบรวมเสียงส.ว.ผู้หิวโหยเข้าสังกัดได้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้จะโฉ่งฉ่างไปบ้างกับงานประเดิม รวบรวมเสียงยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สุดท้ายก็ล้มครืนตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม
แต่ “ประสิทธิ์”ก็ยังไม่ถูกลดความไว้วางใจ เพราะเสียงจำนวนหนึ่งที่กุมอยู่ หากรวมกับที่กำลังตั้งโต๊ะเสนอราคา เจรจาดึงตัวมาเข้าร่วมทีม สามารถใช้ต่อยอดในงานอื่นๆต่อไปที่จะต้องอาศัยเสียงในวุฒิสภา
และวันนี้ผลงานของประสิทธิ์ ก็ประจักษ์แล้ว ในกรณีสภาล่มหลายรอบ เสียง ส.ว. “ประสิทธิ์”แอนด์เดอะแก๊ง ถือเป็นแนวร่วมกับทัพสภาฯของเจ้ามูลเมือง ที่ ร่วมกั้นเดินแผน“ล้มประชุม”
ถึงตรงนี้ถ้าไม่ใช่คอการเมืองอาจมีคำถามว่า “ประสิทธิ์”เป็นใคร มาจากไหน ถึงได้เข้ามาอยู่ในลิสต์ม้าใช้ทักษิณ แม้ ชื่อเสียงเรียงนามคนการเมืองอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้านามสกุล “โพธสุธน”ก็ใช่เลย
พี่ชายแท้ๆ ของ ประภัตร โพธสุธน อดีตรัฐมนตรีหลายสมัยของพรรคชาติไทย ที่แนบแน่นกับทักษิณมานาน ทั้งงานการเมือง ทั้งความเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ อย่าง ตึกชินวัตร3 ที่เคยใช้เป็นที่ทำการพรรคของทักษิณ ก็เป็นของประภัตรยกขายให้
และก็เคยพาทักษิณและเพื่อนจากตะวันออกลางมาดูการปลูกข้าว วางแผนแย่งอาชีพชาวนา แต่สุดท้ายต้องล้มเหลวเพราะโดนต่อต้านอย่างหนักหน่วยง
ขณะที่ “ประสิทธิ์”พี่ชาย เพิ่งโดดเข้าการเมืองเต็มตัวครั้งแรกในสนามเลือกตั้งส.ว.ครั้งทีผ่านมา หลังจากที่มีฐานการเมืองท้องถิ่น และพยายามขยายฐานสู่สนามเลือกตั้งระดับชาติ
ส่งวิทวัส โพธสุธน ลูกชายสมัครส.ส.เชียงราย กับพรรคชาติไทย มาหลายรอบ แต่ยังไม่เคยสมหวังซักครั้ง
ทั้งที่มีความพร้อมทั้งเรื่องทุน เรื่องบารมีในพื้นที่ เพราะประสิทธิ์ และตระกูลโพธสุธน ถือเป็นนักลงทุนด้านกาสิโนรายใหญ่ โครงการ โกลเดนท์ ไทลแองเกิล แอนด์ พาราไดซ์ รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำชายแดนพม่า
เป็นบิ๊กโปรเจ็กต์ในนามบริษัท วิทวัส อินเตอร์เนชั่นแนล เครือพี พี กรุ๊ป ของสองพี่น้องโพธสุธน ประกอบไปด้วย โรงแรม5ดาว สนามกอล์ฟ ดิวตี้ฟรี ท่าเทียบเรือ สวนสาธารณะ โรงพยาบาล และบ่อนกาสิโน วงเงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท
สายป่านของ ประสิทธิ์ ในทางธุรกิจ ยังเชื่อมโยงกับนักการเมืองที่เคยอยู่กับระบอบทักษิณ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ก่อนแยกตัวมาเป็นคีย์แมนพรรคภูมิใจไทย ทุกวันนี้ รวมทั้ง จิรฐา อานุภาวธรรม หรือ“กวง เคอาร์”ผู้กว้างขวางในวงการกาสิโน
ในวัย 65 ปี หลังจากผลักดันลูกชายมาสู่เวทีการเมืองไม่สำเร็จ วิทวัสต้องก้าวขึ้นเวทีเอง และก็เป็นที่รู้กันดี ทั้ง ประสิทธิ์ และประภัตร น้องชาย ฝักใฝ่ในระบอบทักษิณ อยากเข้ามาเสริมทัพพรรคนอมินีของนักโทษชายมานานแล้ว
เพียงแต่ติดปัญหาในเรื่อง “บุญคุณ”และบางสิ่งบางอย่างที่ต้อง“ทดแทน”แก่“หลงจู๊” อีกทั้งเกรงกลัวบารมีของอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยที่ครองเมืองสุพรรณฯแบบเบ็ดเสร็จ
แม้มีกระแสข่าวเกือบทุกครั้งในการเลือกตั้งว่า ประภัตร จะย้ายสังกัดไปช่วยงานค่ายการเมืองของเพื่อนรักทักษิณ ถึงขั้นวางตำแหน่งให้เป็นเลขาธิการพรรคสมัยไทยรักไทยมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องชะงัก ล้มแผนไปทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้ เมื่อน้องไม่กล้า พี่ก็ต้องรับหน้าลุยแทน รู้กันว่า “ประสิทธิ์”เหลือทนที่จะให้ครอบครัวโพธสุธน อยู่กับพรรคการเมืองเดิมที่ปักหลักมาหลายสิบปี และไร้วี่แววที่ทายาทของตระกูลจะได้แจ้งเกิดทางการเมืองในจ.เชียงราย ถ้าไม่ย้ายค่ายเปลี่ยนสังกัด
“ประสิทธิ์”จึงอาสาเป็นหัวหมู่ทะลวง ประสานงานขอเข้าพรรคนายใหญ่เป็นที่เรียบร้อย และอดีตกรรมการร่างกฎหมาย ในคณะกรรมการกฤษฎีกา ดีกรีปริญญาตรีและโทด้านนิติศาสตร์สองใบอย่างประสิทธิ์ จึงได้โชว์ชื่อชั้นในเกมรื้อกฎหมายแม่บทรัฐธรรมนูญ อาสาเป็นแม่ทัพในแนวรบสภาฯ หวังสร้างผลงานให้เข้าตานายใหญ่
เพราะวันนี้สองพี่น้อง“โพธสุธน” ประสิทธิ์-ประภัตร ต้องการจะเข้าไปเป็นลิ่วล้อของระบอบทักษิณเต็มตัว แบบอั้นความอยากไว้ไม่อยู่แล้ว!!