นายกฯ แฉ “ฮุนเซน” เคยรับปากจะไม่ให้ความเป็นเพื่อนกับ “ทักษิณ” กระทบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ย้ำ “นช.แม้ว” ไม่ใช่นักโทษคดีการเมือง ยืนยันใช้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ามแดนขอตัวมาดำเนินคดีที่เมืองไทย แจงเหตุยกเลิกเอ็มโอยูเพราะมีหนอนบ่อนไส้ หากมีการเจรจาต่อไปไทยย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน ส่วนความสัมพันธ์ในอนาคตขึ้นอยู่กับท่าทีกัมพูชาเพราะเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
วันนี้ (8 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยกรมประชาสัมพันธ์ ถึงสถานการณ์ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีเรื่องที่พี่น้องประชาชนให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าจะมีความแนวโน้มเดินหน้าต่อไปอย่างไร จึงขออธิบายว่าการกระทบกระทั่งในเรื่องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน เช่นที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกัน ซึ่งก็ยังยึดหลักเจรจาเพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศที่มีชายแดนติดต่อกัน ทั้งในเรื่องการค้าขายพื้นที่หรือความร่วมมือในด้านเส้นทางคมนาคม
ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ในช่วงบริหารประทศสมเด็จฯ ฮุนเซน เคยเอ่ยปากมาตลอดว่าแม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นเพื่อนแต่จะไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะเพื่อนบ้าน แต่มาวันนี้สิ่งที่สมเด็จเคยพูดมาตลอด กลับแสดงออกถึงการขาดความจริงใจและไม่เคารพกิจการภายในประเทศ โดยการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาทั้งส่วนตัวและรัฐบาล และมีการพูดล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่อ.หัวหิน ว่าจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินที่เมืองไทยแม้ทั้งสองประเทศจะมีสนธิส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ซึ่งตนในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ทักท้วงด้วยวาจาไปแล้วเพื่อให้กัมพูชาทบทวนท่าที แต่มาถึงวันนี้กัมพูชากลับออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร วิพากษ์วิจารณ์กิจการการเมืองและกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งเข้าใจดีว่าคนไทยทั้งประเทศคงยอมรับไม่ได้ เพราะเหมือนกับย่ำยีศักดิ์ศรีคนไทยทั้งชาติ จึงได้ตอบโต้ด้วยการปรับลดความสัมพันธ์ทางการทูตและได้เรียกทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกับประเทศ
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาย่อมกระทบต่อประเทศผลประโยชน์ของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีการเจรจาในเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติหรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล จึงจำเป็นต้องยกเลิกข้อตกลงที่เคยทำกันมาในสมัยนั้น เพราะเมื่ออดีตผู้ทำข้อตกลงกลับกลายเป็นที่ปรึกษาของกัมพูชา หากมีการเจรจากันจริงไทยย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
“ผมขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่นักโทษคดีการเมืองอย่างที่สมเด็จฯ ฮุนเซน กล่าวอ้าง ซึ่งอาจจะได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงตามความความจริง และหากนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินเข้ามาพำนักในกัมพูชา จะใช้สนธิสัญญาเพื่อขอตัวกลับมาดำเนินคดีตามขั้นตอนอย่างแน่นอนและจะไม่นำปัญหาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศไปกระทบถึงเวที เพราะถือว่าเป็นเรื่องทวิภาคีที่ประเทศกัมพูชาจะต้องมีหน้าที่ทบทวนท่าทีเพื่อปรับลดระดับความขัดแย้งที่เป็นผู้ก่อขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ ในช่วงที่สองนายกรัฐมนตรีได้นำเทปบันทึกรายการระหว่างการโดยสารบนเครื่องบินกองทัพอากาศ กลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขง ที่กรุงโตเกียว ประทศญี่ปุ่นเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเล่าถึงภารกิจที่ปฏิบัติระหว่างการเดินทางไปประชุมเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา