นายกฯ เผยความในใจไม่เคยคิดยึดติดเก้าอี้ พร้อมฟังเสียง ปชช.หากจำเป็นต้องยุบสภา มั่นใจจะได้รับเสียงข้างมากกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้าอย่างแน่นอน ไม่หนักใจเสียงวิพากษ์ ชี้เป็นบุคคลสาธารณชน ต้องเปิดใจกว้างและต้องวิธีชี้แจงหากมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงแต่จะไม่ใช้วิธีตอบโต้กระแสรายวัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
วันนี้ (25 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ถึงผลสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยประเทศในกลุ่มอาเซียนตลอดจนประเทศผู้ค้ารวม 15 ประเทศ ได้เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง ตลอดจนยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒธรรม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ถือเป็นการจัดประชุมครั้งสุดท้ายในฐานะประเทศเจ้าภาพ
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงผลงานของรัฐบาลในช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมาว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการออกโฉนดชุมชนในรูปสหกรณ์เพื่อที่จะได้สรรหาที่ทำกินให้แก่เกษตรกรอย่างกระจาย หรืออนุมัติให้มีออกกฏหมาย เพื่อยกระดับ ศอ.บต.ในพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนทางภาคใต้ เพื่อให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐของมนตรี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริหารโดยตรง ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและความมั่นคง เหลือเพียงรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏร
นอกจากนี้ยังได้แก้ปัญหาการหยุดงานของสหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยรัฐบาลไม่ยอมอ่อนข้อตามข้อเรียกร้องเพราะผิดหลักการ แต่ยอมรับฟังปัญหาและพร้อมแก้ไขในเรื่องตรวจสภาพของหัวรถจักร แต่ทั้งนี้พนักงานต้องยินยอมกลับเข้าทำหน้าที่อย่าทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อน
ใน่ช่วงที่สองนายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามของ นายสุทธิชัย หยุ่น พิธีกรรับเชิญเกี่ยวกับการชีวิตความเป็นอยู่หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่ท้าทายเพราะความที่เป็นนักการเมืองอาชีพ จะต้องแก้ปัญหาโดยต้องยึดเสียงประชาชนเป็นหลักในการบริหาร ส่วนที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเป็นบุคคลสาธารณชนที่ต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการชี้แจงหากมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ใช้วิธีตอบโต้ แต่ก็ไม่กล้าประเมินผลงานตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ส่วนการสำเร็จของการประชุมในครั้งนี้ต้องรอบทพิสูจน์ถึงผลที่จะเป็นรูปธรรมในอีก 6 ปีข้างหน้า การปะชุมในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าระดับภูมิภาคอาเซียนเพราะมีประเทศคู่ค้ายักษ์ใหญ่อย่างจีน ญึ่ปุ่น เกาหลีใต้และอินเดียเข้าร่วมในตกลงนี้ด้วย
ส่วนมีการวิพากษ์ว่าการปะกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงครั้งนี้ต้องใช้กำลังทหารตำรวจถึง 18,000 นายว่า เพื่อป้องปรามเพราะไม่ต้องการให้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันในกรณีการประชุมที่พัทยา ซึ่งหากเกิดขึ้นอีกก็ไม่ทราบว่าผลที่จะเกิดต่อความเชื่อมั่นในสายตาชาวโลกอีกมากมายเท่าไหร่
ในช่วงท้าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เคยกำหนดว่าจะนั่งบริหารประเทศไปอีกนานแค่ไหน และไม่เคยยึดตดเก้าอี้ แต่ขอทำหน้าที่ที่คั้งค้างให้บรรลุผลสำเร็จ และพร้อมเสมอหากจะต้องยุบสภาหากประชาชนเห็นว่าหมดเวลาบริหารราชการแล้ว สำหรับความเป็นนัการเมืองอาชีพแล้วต้องพร้อมเสมอ
สำหรับการเลือกตั้งและมั่นใจว่าจากผลสำรวจโพลของพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถเอาชนะพรรคคู่แข่งได้อย่างแน่นอน เพราะตลอดในช่วง 10 เดือน ที่ผ่านมาได้สร้างผลงานใหม่ๆและปรับปรุงบางนโยบายให้เดินหน้าต่อไปอย่างเป็นรูปธรรม จึงเชื่อว่าหากมีเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอน