ป.ป.ส.ประเมินสถานการณ์ยาเสพติดจะกลับมารุนแรงมากขึ้นในปี 53 โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ชี้ ประเทศเพื่อนบ้านกำลังเร่งผลิตเพื่อจำหน่ายหาเงินแลกซื้ออาวุธ “เลขาฯ” สั่งดูแลในระดับชุมชน ยันผู้ค้ารายเก่ารีเทิร์นมาขายอีก
วันนี้ (21 ต.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด วาระพิเศษ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามผลการปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับผลการประชุม ที่ประชุมรับทราบการรายงานผลการปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) และแนวโน้มของปัญหา กล่าวโดยสรุปคือ สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปี 2552 มีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้น พิจารณาได้จากสถิติการจับกุมคดียาเสพติด และจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และจากข้อมูลการสอบถามผู้เสพ/ผู้ค้าที่เข้าสู่ระบบ ทั้งในเรือนจำ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สำนักงานคุมประพฤติ และสถานบำบัดรักษา พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้เสพ/ผู้ค้า มีจำนวนเพิ่มขึ้น และจากการสำรวจความ พึงพอใจของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล พบว่า ความพึงพอใจในระดับปานกลาง-มากที่สุด มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 95.6 เหลือร้อยละ 65.6 อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในช่วงของแผนยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) ปรากฏว่า ความพึงพอใจในระดับปานกลาง-มากที่สุด เพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 74.2 ทั้งนี้ ในปี 2553 คาดว่า สถานการณ์ปัญหายาเสพติดจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยประมาณการว่า จะมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทั้งสิ้น 260,000 คน และจะมีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาประมาณ 120,000 คน ซึ่งสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวมีปัจจัยมาจากหลายปัจจัย เช่น สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน สถานการณ์ตลาดแรงงานในประเทศที่ยังคงเปราะบางทามกลางปัจจัยเสี่ยงจากความไม่ แน่นอนทั้งจากทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการขยายผลโครงการหลวง เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการดังกล่าว อาทิ พื้นที่ปลูกฝิ่นลดน้อยลงหรือหมดไป ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปลูกฝิ่นลดน้อยลง ประชาชนมีทัศนคติมีทางเลือกในการประกอบอาชีพในการทางที่ถูกกฎหมาย และเข้ามาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในการเฝ้าระวังและป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพ ติดและอื่นๆ ตลอดจนมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ และมีพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
อีกทั้งที่ประชุมยังเห็นชอบการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพติด เป็นส่วนราชการระดับกรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยจะเร่งรัดสำนักงาน ก.พ.ร.ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป
โดยภายหลังการประชุม พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวถึงการคาดการสถานการณ์ยาเสพติดในปี 2553 ที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น ว่า เนื่องจากการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านยังมีความรุนแรงและผลิตมากกว่าปกติ ซึ่งเริ่มมาหลายเดือนแล้วหลังจากการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่า จะมีการนำเข้ายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น จึงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ในระยะที่สองเพื่อดำเนินการให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือ จะต้องเน้นการทำงานทั้งในและนอกประเทศ โดยจะมีการประสานงานกับประเทศพม่า ลาวและจีน รวมทั้งจะมีการจัดชุดปฏิบัติร่วมเพื่อลาดตระเวนและประสานการข่าว ทั้งนี้ถือว่าเพื่อนบ้านได้ทำในเรื่องนี้มากขึ้นและมีการร่วมมือใกล้ชิดขึ้น
“ปัญหาการสู้รบในเพื่อนบ้าน ทำให้มีการค้ายาเสพติดมากขึ้นเพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธ นี่คือ ข้อเท็จจริงที่เรารับทราบอยู่ ซึ่งในอดีตการสู้รบไม่รุนแรงขนาดนี้ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านจะมีการเลือกตั้งในปี 2553 จึงทำให้มีการกดดันชนกลุ่มน้อยรวมทั้งมีการกวาดล้างจับกุม ตั้งแต่รัฐฉานถึงเชียงตุงจึงทำให้ยาเสพติดทะลักข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งลาวและเข้ามาฝั่งไทย” พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าว
เลขาฯ ป.ป.ส.กล่าวอีกว่า เราจะต้องดำเนินการหลายๆ อย่างในส่วนของเรา ทั้งการป้องกันปราบปราม และจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีความเป็นห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชน เพราะยอมรับว่ามีการแพร่ระบาดและมีการค้าในชุมชนมากขึ้น ดังนั้น จะต้องปรับแผนของปี 2553 เพื่อให้ทุกอย่างกระชับและชัดเจน ดังนั้น จะเน้นลงไปที่ชุมชนให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเน้นจับรายใหญ่ นอกจากนี้ยังยอมรับว่าพื้นที่ กทม.และปริมณฑลมีการแพร่ระบาดมากขึ้นด้วย
ส่วนกรณีที่มีการให้บทบาท กอ.รมน.มากขึ้น แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าวว่า กอ.รมน.เป็นเพียงองค์กรที่เริ่มต้นที่จะต้องมีการปรับบทบาทและท่าทีมากขึ้น โดยจะต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กอ.รมน.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของ ป.ป.ส.ตรงกันข้ามการที่มี กอ.รมน.เข้ามาจะช่วยประสานงานควบคุมติดตามการทำงานในส่วนต่างๆ และจะมีการบูรณาการงานในรูปแบบที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น เพียงแต่ช่วงนี้ต้องทำความเข้าใจระหว่างผู้ปฏิบัติกับฝ่ายนโยบาย ทั้งนี้ ในส่วนของต่างจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผอ.กอรม.ภาค ก็เชื่อว่ากลไกเหล่านี้จะประสานให้มีความร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อจะได้มีความชัดเจนในการทำงานต่อไป
สำหรับที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด เลขาฯ ป.ป.ส.กล่าวว่า ในส่วนของฝิ่นมีผลิตในพื้นที่ 10% เพราะส่วนใหญ่จะผลิตในอัฟกานิสถาน ขณะที่เฮโรอีนในพื้นที่ก็การผลิตน้อยมาก แต่ที่มีมากคือยาบ้าและยาไอซ์ที่ผลิตง่ายและแหล่งผลิตอยู่นอกประเทศ และเป็นเขตอิทธิพล อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักของรัฐบาลเน้นในเรื่องให้ถือการปราบยาเสพติดเป็นนโยบายแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเฉียบพลัน รวดเร็ว ชัดเจนและต่อเนื่อง จะต้องพยายามทำให้ครบทุกมิติของแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ โดยนายสุเทพก็พูดชัดเจนว่าการดำเนินการอย่าใช้การกดดันเพื่อให้เกิดความกลัวเหมือนในอดีต แต่ขอให้ใช้กฎหมายกดดันเป็นหลัก
“นโยบายที่ผ่านมาจัดการรายใหญ่ก่อน จึงไม่ได้ลงที่ชุมชนหมู่บ้าน ขณะนี้ชาวบ้านจึงเดือดร้อน จึงต้องไปจัดการในพื้นที่ใหมากขึ้นและยอมรับว่า มีผู้ค้ารายย่อยกลับเข้ามาอีก ชาวบ้านยังรู้สึกว่ามีการแพร่ระบาดของยาเสพติด วันนี้จึงมีการมอบนโยบายลงไปชัดเจนว่า ตำรวจจะต้องปรับบทบาทและยุทธศาสตร์ให้ลงพื้นที่ให้มาก โดยในส่วนของชายแดนกองทัพภาค 2 และภาค 3 จะช่วยเป็นแนวรั้วให้เข้มแข็งมากขึ้นด้วย” พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าว
วันนี้ (21 ต.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงในฐานะประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด วาระพิเศษ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามผลการปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับผลการประชุม ที่ประชุมรับทราบการรายงานผลการปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) และแนวโน้มของปัญหา กล่าวโดยสรุปคือ สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปี 2552 มีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้น พิจารณาได้จากสถิติการจับกุมคดียาเสพติด และจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา และจากข้อมูลการสอบถามผู้เสพ/ผู้ค้าที่เข้าสู่ระบบ ทั้งในเรือนจำ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สำนักงานคุมประพฤติ และสถานบำบัดรักษา พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้เสพ/ผู้ค้า มีจำนวนเพิ่มขึ้น และจากการสำรวจความ พึงพอใจของประชาชนต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล พบว่า ความพึงพอใจในระดับปานกลาง-มากที่สุด มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 95.6 เหลือร้อยละ 65.6 อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในช่วงของแผนยุทธศาสตร์ “5 รั้วป้องกัน” ระยะที่ 1 (1 เมษายน-30 กันยายน 2552) ปรากฏว่า ความพึงพอใจในระดับปานกลาง-มากที่สุด เพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 74.2 ทั้งนี้ ในปี 2553 คาดว่า สถานการณ์ปัญหายาเสพติดจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยประมาณการว่า จะมีผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทั้งสิ้น 260,000 คน และจะมีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาประมาณ 120,000 คน ซึ่งสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวมีปัจจัยมาจากหลายปัจจัย เช่น สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน สถานการณ์ตลาดแรงงานในประเทศที่ยังคงเปราะบางทามกลางปัจจัยเสี่ยงจากความไม่ แน่นอนทั้งจากทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการขยายผลโครงการหลวง เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการดังกล่าว อาทิ พื้นที่ปลูกฝิ่นลดน้อยลงหรือหมดไป ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปลูกฝิ่นลดน้อยลง ประชาชนมีทัศนคติมีทางเลือกในการประกอบอาชีพในการทางที่ถูกกฎหมาย และเข้ามาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในการเฝ้าระวังและป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพ ติดและอื่นๆ ตลอดจนมีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ และมีพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
อีกทั้งที่ประชุมยังเห็นชอบการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติด ยาเสพติด เป็นส่วนราชการระดับกรมในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยจะเร่งรัดสำนักงาน ก.พ.ร.ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป
โดยภายหลังการประชุม พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวถึงการคาดการสถานการณ์ยาเสพติดในปี 2553 ที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น ว่า เนื่องจากการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านยังมีความรุนแรงและผลิตมากกว่าปกติ ซึ่งเริ่มมาหลายเดือนแล้วหลังจากการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่า จะมีการนำเข้ายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น จึงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ในระยะที่สองเพื่อดำเนินการให้เข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือ จะต้องเน้นการทำงานทั้งในและนอกประเทศ โดยจะมีการประสานงานกับประเทศพม่า ลาวและจีน รวมทั้งจะมีการจัดชุดปฏิบัติร่วมเพื่อลาดตระเวนและประสานการข่าว ทั้งนี้ถือว่าเพื่อนบ้านได้ทำในเรื่องนี้มากขึ้นและมีการร่วมมือใกล้ชิดขึ้น
“ปัญหาการสู้รบในเพื่อนบ้าน ทำให้มีการค้ายาเสพติดมากขึ้นเพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธ นี่คือ ข้อเท็จจริงที่เรารับทราบอยู่ ซึ่งในอดีตการสู้รบไม่รุนแรงขนาดนี้ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านจะมีการเลือกตั้งในปี 2553 จึงทำให้มีการกดดันชนกลุ่มน้อยรวมทั้งมีการกวาดล้างจับกุม ตั้งแต่รัฐฉานถึงเชียงตุงจึงทำให้ยาเสพติดทะลักข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งลาวและเข้ามาฝั่งไทย” พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าว
เลขาฯ ป.ป.ส.กล่าวอีกว่า เราจะต้องดำเนินการหลายๆ อย่างในส่วนของเรา ทั้งการป้องกันปราบปราม และจัดกำลังเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีความเป็นห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชน เพราะยอมรับว่ามีการแพร่ระบาดและมีการค้าในชุมชนมากขึ้น ดังนั้น จะต้องปรับแผนของปี 2553 เพื่อให้ทุกอย่างกระชับและชัดเจน ดังนั้น จะเน้นลงไปที่ชุมชนให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเน้นจับรายใหญ่ นอกจากนี้ยังยอมรับว่าพื้นที่ กทม.และปริมณฑลมีการแพร่ระบาดมากขึ้นด้วย
ส่วนกรณีที่มีการให้บทบาท กอ.รมน.มากขึ้น แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าวว่า กอ.รมน.เป็นเพียงองค์กรที่เริ่มต้นที่จะต้องมีการปรับบทบาทและท่าทีมากขึ้น โดยจะต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กอ.รมน.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของ ป.ป.ส.ตรงกันข้ามการที่มี กอ.รมน.เข้ามาจะช่วยประสานงานควบคุมติดตามการทำงานในส่วนต่างๆ และจะมีการบูรณาการงานในรูปแบบที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น เพียงแต่ช่วงนี้ต้องทำความเข้าใจระหว่างผู้ปฏิบัติกับฝ่ายนโยบาย ทั้งนี้ ในส่วนของต่างจังหวัดจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผอ.กอรม.ภาค ก็เชื่อว่ากลไกเหล่านี้จะประสานให้มีความร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อจะได้มีความชัดเจนในการทำงานต่อไป
สำหรับที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด เลขาฯ ป.ป.ส.กล่าวว่า ในส่วนของฝิ่นมีผลิตในพื้นที่ 10% เพราะส่วนใหญ่จะผลิตในอัฟกานิสถาน ขณะที่เฮโรอีนในพื้นที่ก็การผลิตน้อยมาก แต่ที่มีมากคือยาบ้าและยาไอซ์ที่ผลิตง่ายและแหล่งผลิตอยู่นอกประเทศ และเป็นเขตอิทธิพล อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักของรัฐบาลเน้นในเรื่องให้ถือการปราบยาเสพติดเป็นนโยบายแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเฉียบพลัน รวดเร็ว ชัดเจนและต่อเนื่อง จะต้องพยายามทำให้ครบทุกมิติของแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ โดยนายสุเทพก็พูดชัดเจนว่าการดำเนินการอย่าใช้การกดดันเพื่อให้เกิดความกลัวเหมือนในอดีต แต่ขอให้ใช้กฎหมายกดดันเป็นหลัก
“นโยบายที่ผ่านมาจัดการรายใหญ่ก่อน จึงไม่ได้ลงที่ชุมชนหมู่บ้าน ขณะนี้ชาวบ้านจึงเดือดร้อน จึงต้องไปจัดการในพื้นที่ใหมากขึ้นและยอมรับว่า มีผู้ค้ารายย่อยกลับเข้ามาอีก ชาวบ้านยังรู้สึกว่ามีการแพร่ระบาดของยาเสพติด วันนี้จึงมีการมอบนโยบายลงไปชัดเจนว่า ตำรวจจะต้องปรับบทบาทและยุทธศาสตร์ให้ลงพื้นที่ให้มาก โดยในส่วนของชายแดนกองทัพภาค 2 และภาค 3 จะช่วยเป็นแนวรั้วให้เข้มแข็งมากขึ้นด้วย” พล.ต.ท.กฤษณะ กล่าว