สภาท่าพระอาทิตย์ : หลอมรวมทุกเหตุการณ์การต่อสู้พันธมิตรฯให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนพรรคการเมืองใหม่ ทำฝันให้เป็นจริง หลังประเทศต้องตกอยู่ในวังวนฝันร้าย เมื่อเกิดเหตุปฏิวัติเมื่อปี 49 วอนพี่น้องพันธมิตรฯ ที่รักชาติตั้งมั่น ยึดความถูกต้องและออกมาร่วมสร้างการเมืองใหม่ด้วยกัน เพื่อรับใช้ชาติ ตอบแทนบุณคุณแผ่นดิน พร้อมทั้งขจัดระบอบการเมืองชั่วให้หมดไปจากประเทศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “สภาท่าพระอาทิตย์”
รายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” วันพุธที่ 7 ตุลาคม จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บนเวทีปราศรัยชั่วคราวในงานรำลึก “7 ตุลาฯ เลือด” โดยมี นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วย นายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 และโฆษกพรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ รวมทั้ง น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก หนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยและแสดงวิสัยทัศน์กับบทบาททางการเมือง เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องให้ได้เข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการเมืองใหม่ที่ถูกต้อง
นายสุริยะใส กล่าวว่า เหตุผลของการต้องมีพรรคการเมืองใหม่ เพราะการเมืองระบอบเก่าเห็นได้ชัดว่า ขาดความอิสระ ถูกนักลงทุน หรือพรรคร่วมรัฐบาลใช้เสถียรภาพมาต่อรองกับรัฐบาล จนทำให้อำนาจในการบริหารลดน้อยถอยลง ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีพรรคการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันเรื่องการเมืองได้ก้าวหน้ามากกว่าในอดีต เนื่องจากผู้คนมีความเข้าใจและเลือกที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
นายสำราญ กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีการสลายการชุมนุมพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภา รวมทั้งการต่อสู้ทั้ง 193 วันของพันธมิตรฯ ในการขับไล่รัฐบาลทรราช ทำให้พี่น้องประชาชนต้องเสียน้ำตาไปมากมาย แต่ตนอยากให้นำคราบน้ำตาเหล่านั้น มาเป็นสิ่งเตือนใจ และนำมาหลอมรวมให้เป็นบทเรียน เพื่อที่จะตอบคำถามตนเองให้ได้ว่า เวลานี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่บ้านเมืองเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะทางด้านการเมือง เพราะเห็นได้ชัดแล้วเวลานี้ว่า หลังเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติโดยคณะทหารเมื่อปี 2549 จนนำมาสู่ความพลิกผันจนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ฉะนั้น ความหวังทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปมาอยู่ที่พลังของประชาชน ที่จะต้องมาร่วมกันต่อสู้กับนักการเมืองชั่ว ที่โกงกินชาติบ้านเมือง
“หากเรามองเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดในเชิงโครงสร้าง จะเห็นได้ว่า การเมืองที่ผ่านมา เหมือนฝนที่ตกค้างฟ้า คือ ตกไม่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อปี 2549 ทำให้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะครึ่งๆ กลางๆ การที่คณะทหารมายึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงการแก้ปัญหาเบื้องต้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัญหาทุกอย่างจะสิ้นสุด จะเห็นได้ว่า หลังจากนั้น ทหารก็ไม่ได้มีบทบาททำอะไรอีกเลย ในยุคของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ประชาชนได้ยินแต่คำว่า ไม่มีความเห็น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายแรงขนาดไหน แต่ก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ ออกมาจากปากผู้นำคนนี้” นายสำราญ กล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้มาเป็นรัฐบาล นับว่าเป็นผลพวงจากการที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลทรราชให้พ้นออกไป แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นเลยว่า จะมีสิ่งใดที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรให้แก่ประชาชน ซึ่งเหตุผลที่ทำไม่ได้ ก็ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่ยอมให้พรรคประชาธิปัตย์ทำ จึงไม่มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน ไม่ว่าจะกระดิกตัวจะไปทำสิ่งใด ก็ต้องถามความเห็นพรรคร่วมรัฐบาลก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปวันข้างหน้าลูกหลานจะเป็นเช่นไรนับจากนี้
นายประพันธ์ กล่าวว่า หลังจากพรรคการเมืองใหม่ถือกำเนิดขึ้น มีกลุ่มก้อนการเมืองออกมาแสดงความเห็นว่า เป็นการเมืองใหม่ที่ไม่สร้างสรรค์ ตนอยากถามพวกนั้นว่า รู้จักการเมืองใหม่ดีพอหรือยัง และรู้หรือไม่ว่าการเมืองใหม่คืออะไร การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประเทศและส่วนรวม ในการขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โกงชาติบ้านเมือง เพราะนอกจากจะเป็นรัฐบาลที่ฉ้อฉลที่สุดแล้ว ยังเป็นรัฐบาลที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และสร้างปัญหาความแตกแยกให้กับประเทศมากที่สุดด้วย
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ช่วงเวลาบริหารประเทศของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นช่วงที่สถาบันเบื้องสูงสั่นคลอนมากที่สุด เพราะมีการจาบจ้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไร อย่างน้อยเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้พันธมิตรฯ มองย้อนหลังกลับไปถึงบทเรียนได้จากการปฏิวัติของ คมช.และการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งความชั่วร้ายของระบอบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บทเรียนที่ได้ทั้งหมด จะถูกเรียงร้อยนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขในบทบาทการทำหน้าที่ของพรรคการเมืองใหม่ เนื่องจากป่วยการแล้วที่เวลานี้จะไปฝากความหวังไว้ที่ใคร นักการเมืองชั่วก็ดีแต่จะคอยหาช่องทางทำให้ตนเองได้เป็นนายกฯทั้งนั้น
นายสุริยะใส กล่าวเสริมว่า ตนอยากบอกว่า เมื่อสร้างการเมืองใหม่ และเดินไปข้างหน้า เราต้องกล้าทำ หากใครอยากมาร่วมให้เดินเข้ามาร่วมอุดมการณ์ได้ทันที เพื่อร่วมกันเดินหน้าทำให้ทุกอย่างเป็นความจริง เพราะสิ่งที่ประชาชนเคยหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ทุกอย่าง แต่จนถึงขณะนี้ ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดความชัดเจน จนต้องทำให้พรรคการเมืองใหม่กำเนิดขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด พรรคการเมืองเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ นโยบายบริหารพรรค ที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้ทุกกระบวนการ
นายสำราญ กล่าวว่า การที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ มีนักการเมืองรุ่นเก่า มองแบบถากถาง กล่าวหาว่า เป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ไม่มีต้นทุนมากมาย แต่ตนอยากบอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ทุกคะแนนของพรรคการเมืองใหม่ ไม่ได้มาจากการซื้อสิทธิขายเสียงเหมือนระบอบการเมืองเก่า
“บทเรียนที่ผ่านมา นับเป็นสิ่งที่มีค่า เพราะทุกการต่อสู้เป็นเครื่องพิสูจน์ทำให้ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ถึงแม้ทุกวันนี้จะมีฝ่านหนึ่งได้ผลประโยชน์จากการที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทรราชก็ตาม แต่พันธมิตรฯ ต้องไม่ดูถูกตัวเองเมื่อมีพรรคการเมืองใหม่ ทุกอย่างสามารถเป็นความจริงได้ ขอแค่มีความตั้งใจเท่านั้น” นายสำราญ กล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนอยากให้รัฐบาลลองถามความเห็นประชาชนว่าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะมีแนวโน้มว่าประเด็นที่จะแก้ส่วนใหญ่ จะเอื้อประโยชน์ให้แก่นักการเมืองชั่วทั้งสิ้น
นายสุริยะใส กล่าวปิดท้าย ที่ผ่านมา ตนเคยพูดมาหลายเวทีแล้ว สำหรับพลังของพันธมิตรฯ ว่าสมควรจะปกครองตนเอง มีคนเคยพูดว่า ตนไปเชิญ นายสนธิ ให้มาเล่นการเมือง ตนไม่อยากให้มีใครคิดเช่นนั้น เพราะไม่สามารถไปโน้มน้าวความคิดใครได้ แค่เวลานี้ถึงเวลาต้องออกมาต่อสู้อีกแบบ โดยหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น อยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ พิจารณาเลือกที่ตัวบุคคลมากกว่าตัวพรรคการเมือง แต่ขอยืนยันว่า พรรคการเมืองใหม่จะไม่ยอมให้ผู้อื่น หรือนักเสาะแสวงหาผลประโยชน์ย่างกายเข้ามาในพรรคได้