xs
xsm
sm
md
lg

ลูกเล่น “ฮุนเซน” หาคะแนนนิยมกลบปัญหา !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฮุนเซน
"ผ่าประเด็นร้อน"

ต้องยอมรับว่านาทีนี้ระดับผู้นำในภูมิภาคเดียวกันไม่มีใคร “เขี้ยว” เกิน “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาไปได้ เพราะเป็นผู้นำครองอำนาจต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ได้พบปะผ่านผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านคนแล้วคนเล่านับไม่ถ้วน เอาเฉพาะแค่สองสามปีมานี้ เขาได้เห็นหน้านายกรัฐมนตรีของไทยมาแล้วถึง 3-4 คน

ขณะที่ผู้นำของไทยกำลังสาละวนอยู่กับการผสานผลประโยชน์และอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองภายในรัฐบาล แต่ ฮุนเซน กลับสามารถกระชับอำนาจได้อย่างมั่นคง และเบ็ดเสร็จมากขึ้นทุกวัน

และประกาศว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาไปจนตาย หลังจากที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้มานานเกือบ 30 ปีแล้ว

หากจะย้อนแบ็กกราวด์กลับไปไม่นานนัก ในช่วงที่กัมพูชากำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปลายเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โดยก่อนหน้านั้นได้เกิดการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นระยะ หรือหากย้อนไปเมื่อครั้งการเลือกตั้งเมื่อปี 2546 ที่มีการปล่อยข่าวลือจนมีการเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ

ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะที่สร้างกระแสชาตินิยมของผู้นำกัมพูชา ก็ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งเหนือคู่แข่งอย่างถล่มทลาย

คราวนี้ก็เช่นเดียวกันแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว และ ฮุนเซน ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไร้คู่แข่ง แต่ต้องไม่ลืมว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบต่อกัมพูชาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจากการส่งออกเสื้อผ้า การลงทุนจากภายนอก และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก รวมไปถึงปัญหาอุทกภัยเมื่อปีที่แล้ว ที่สร้างความเสียหายกับพื้นที่ทางการเกษตร ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวที่เพิ่งตั้งไข่ได้ ก็ต้องประสบปัญหา

นี่ยังไม่นับการค้าด้านชายแดนไทย ที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากความตึงเครียดและเศรษฐกิจซบเซา

สิ่งเหล่านี้ คือภาพสะท้อนทางเศรษฐกิจที่เป็นจริงที่รัฐบาลของฮุนเซนกำลังเผชิญอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำกัมพูชาในตอนนี้คือ ใช้กรณีปัญหาชายแดนไทยให้เป็นประโยชน์ทางการเมือง อย่างน้อยสร้างกระแสชาตินิยม เพื่อกลบกระแสความยุ่งยากทางเศรษฐกิจภายในได้อีกระยะหนึ่ง

ขณะเดียวกันอีกด้านจากบทบาทแข็งกร้าว ล่าสุดเมื่อให้สัมภาษณ์ว่าได้สั่งให้ทหารยิงทุกคนที่ล้ำแดนเข้ามาในพื้นที่พระวิหาร ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือน มองได้ว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจในทางการเมืองระหว่างประเทศ เพราะอย่างน้อยเขารู้ดีว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ไทยเป็นเจ้าภาพที่ ชะอำ และหัวหิน

และอย่างน้อยภาพความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้รัฐบาลไทย โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องว้าวุ่น เพราะมีตำแหน่งประธานอาเซียนค้ำคออยู่ ก็อยากให้บรรยากาศราบรื่น ที่สำคัญต้องการให้ทุกประเทศสมาชิกมาประชุมกันครบ

นอกจากนี้สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ กัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขของ ยูเนสโกในเรื่องการบริหารสถานที่ ในบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ฮุนเซน ขู่ว่าจะนำเรื่องขึ้นฟ้องสหประชาชาติ เพื่อดึงเอามหาอำนาจเข้ามายุ่ง

เมื่อพิจารณาตามสถานการณ์แล้ว อาจเรียกได้ว่านี่คือความ “เหลี่ยมจัด” ของฮุนเซน ที่มักรู้จักฉกฉวยสถานการณ์ มาใช้ให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ

แต่เมื่อหันมามองในมุมของไทยบ้าง เวลานี้กลับเป็นตรงกันข้าม ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีการละเลยปัญหาพื้นที่ชายแดนจนปล่อยให้ทางฝ่ายเขมรรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาตั้งรกราก สร้างอาคารต่างๆมากมาย จนยากจะผลักดันออกไป ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตั้งแต่ระดับนโยบาย ลงมาจนถึงผู้นำกองทัพบางคน ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา

ที่ผ่านมา มีข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยที่คาดกันว่ามีแหล่งพลังงานจำนวนมหาศาล ซึ่งมีหลายบริษัทขอเข้าไปสำรวจ ซึ่งมีความเกี่ยวพันไปถึงเขตแดนของประเทศด้วย

นอกจากนี้ ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหารที่เป็นของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็กลับมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางกลุ่มเข้าไปหาประโยชน์ ปล่อยให้มีการเช่าพื้นที่ ยอมให้ชาวกัมพูชาเข้ามาใช้ที่ดิน จนในที่สุดนำมาสู่ลักษณะการครอบครองปรปักษ์มายึดดินแดนโดยพฤตินัย หน้าตาเฉย

สิ่งที่เกิดขึ้นแทบทั้งหมด เป็นเพราะผลประโยชน์เฉพาะหน้าของนักการเมืองในรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดความยุ่งยากและคาราคาซังเรื่อยมา

ดังนั้นหากรัฐบาลไทยมีความเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนต้องมาก่อนจริง บางครั้งหากจำเป็นต้องแข็งกร้าวกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อทวงสิทธิ์ของเรากลับคืนมา ก็จำเป็นต้องทำ ไม่ใช่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอยู่แบบนี้ตลอดไป

เพราะหากเปรียบเทียบชายแดนด้านกัมพูชา-เวียดนาม ทำไมไม่เกิดความตึงเครียด ทั้งที่หากว่าไปแล้วก็มีลักษณะปัญหาไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่ฝ่ายผู้บริหารในรัฐบาลเวียดนามเขาไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนต่างหาก !!
กำลังโหลดความคิดเห็น